ปกติทานยาคุมแบบ21เม็ด แล้วเมื่อคืนทานยาเม็ดที่ 9 แล้วประมาณ30นาทีเกิดอาเจียนค่ะ แล้วต้องทานยาคุมยังไงต่อค่ะ

แนะนำให้ทานใหม่ครับ หากอาเจียนภายในไม่เกิน2ชัาวโมงหลังทานยาครับ ฉะนั้น ในวันนี้ก้ให้ทานเม็ดอเมื่อวานไป1เม็ดใหท่อส่วนของวันนี้ทานไปตามปกติครับ

จะยังคงประสิทธิภาพคุมกำเนิดเช่นเดิมครับ

สวัสดีครับ
การอาเจียนยาคุมออกมาหลังรับประทานยาไปประมาณ 30 นาทีอาจทำให้ยาคุมยังไม่ถูกดูดซึมได้ครับ ในกรณีนี้หมอแนะนำให้แก้ไขโดยการรับประทานยาคุมเม็ดที่ 10 ในตอนนี้ก่อน ส่วนเวลาที่รับประทานยาคุมปกติในคืนนี้ก็ให้รับประทานยาคุมเม็ดที่ 11 ครับ

ยาคุมแบบ 21 เม็ด จะมีการระบุ "ตัวย่อของวันในสัปดาห์" ไว้ในแผง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแกะมารับประทานได้ตรงกับวันที่ใช้จริง ซึ่งจะง่ายต่อการตรวจสอบ ป้องกันการรับประทานซ้ำซ้อนเกินขนาด หรือแก้ไขได้เร็วหากลืมรับประทานยา

ถ้าผู้ถามแกะเม็ดยามาใช้ตรงกับวันที่รับประทานจริง และรับประทานเม็ดที่ 9 ของแผงตรงกับวันเสาร์ที่ 18 มกราคม ก็น่าจะหมายถึงว่าเริ่มรับประทานเม็ดแรกของแผงนี้ในวันศุกร์ที่ 10 มกราคมนะคะ

ดังนั้น ถ้าอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังรับประทาน "เม็ดยาวันเสาร์" ก็ให้แกะเม็ดที่ 21 ของแผง ซึ่งจะตรงกับ "วันพฤหัส" มารับประทานในตอนนี้ 1 เม็ด ทดแทนยาที่อาเจียนออกมาเมื่อวานค่ะ

ส่วนคืนนี้ก็ให้แกะ "เม็ดยาวันอาทิตย์" ในลำดับเดิมที่ใช้ มารับประทานต่อตามเวลาปกตินะคะ

และวันต่อ ๆ ไปก็ให้แกะเม็ดยามารับประทานวันละ 1 เม็ดให้ตรงกับวันที่รับประทานจริงไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดแผง

หลังจากที่หมดแผงแล้วก็ให้เว้นว่าง 7 วัน ซึ่งควรจะมีประจำเดือนมาในช่วงที่เว้นว่าง โดยมักจะมาหลังใช้ยาหมดไปแล้ว 2 - 3 วัน หรือคลาดเคลื่อนเล็กน้อย

เมื่อประจำเดือนมาในช่วงที่เว้นว่างดังกล่าว และเว้นว่างครบ 7 วันแล้วก็ให้ต่อยาคุมแผงใหม่ได้เลย เพื่อให้มีผลคุมกำเนิดที่ต่อเนื่องกัน (ซึ่งจะทำให้วันที่ต่อยาคุมแผงใหม่เลื่อนเร็วขึ้นมา 1 วัน เช่น จากเดิมที่เริ่มใช้ตรงกับวันศุกร์ ก็จะเลื่อนมาเป็นวันพฤหัสแทนค่ะ)

ไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% ค่ะ ดังนั้น หากต้องการความชัดเจนว่า "มีการตั้งครรภ์หรือไม่จากการมีเพศสัมพันธ์ทั้งสองรอบที่ผ่านมา" แนะนำให้ตรวจการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะ ในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจาก "วันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด" อย่างน้อย 14 วันนะคะ

อย่างไรก็ตาม หากเทียบความเสี่ยง ในกรณีที่ไม่ป้องกันใด ๆ จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 85% ส่วนการใช้ถุงยางที่ถูกวิธี และไม่รั่วซึมหรือฉีกขาด จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียงแค่ 2% ค่ะ ดังนั้น ถ้าต้องการทราบเพียงว่า "การมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยทำให้มีการตั้งครรภ์หรือไม่" ก็สามารถตรวจห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์รอบแรก อย่างน้อย 14 วันได้ค่ะ

การต้องการตรวจการตั้งครรภ์เพื่อดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่นั้น ต้องตรวจหลังเสี่ยงตั้งแต่14วันขึ้นไป
หากมีความเสี่ยงรอบแรกกับรอบหลัง ให้นับจากรอบแรกครับ ไม่ใช่รอบหลัง

"สามาถตรวจห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์รอบแรกได้เลยใช่ไหมครับ ส่วนครั้งล่าสุดคือไม่เกี่ยวสินะครับ หรือว่าควรซื้อมาตรวจด้วยดีหรือไม่ครับ"

ไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% ค่ะ ดังนั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์แล้วไม่มีประจำเดือนมาตามรอบปกติเดิม ก็ต้องถือว่าทุก ๆ ครั้งที่มีเพศสัมพันธ์มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์เสมอ แต่จะเสี่ยงมากหรือน้อยก็ขึ้นกับประสิทธิภาพของวิธีป้องกันที่ใช้ และขึ้นกับว่ามีการใช้วิธีป้องกันนั้นถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่

ในกรณีที่สอบถามมา การมีเพศสัมพันธ์รอบแรก ถ้าไม่ป้องกันใด ๆ เลย ถือว่ามีความเสี่ยง 85% ที่จะตั้งครรภ์ได้ค่ะ

ส่วนการมีเพศสัมพันธ์รอบหลัง ถ้าป้องกันด้วยถุงยางอนามัย แม้จะใช้ถูกต้องและไม่มีปัญหา แต่ก็รับรองไม่ได้ว่าจะป้องกันได้ 100% นะคะ จึงถือว่ายังมีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ได้ 2% ค่ะ

ดังนั้น ถ้าต้องการมั่นใจว่าผลตรวจที่ออกมาว่าไม่ตั้งครรภ์ จะเชื่อมั่นได้ว่าการมีเพศสัมพันธ์ทั้ง 2 รอบที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ตั้งครรภ์ ก็ควรตรวจห่างจาก "วันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด" อย่างน้อย 14 วันนะคะ
..
..
แต่ถ้าแฟนของผู้ถามต้องการตรวจห่างจาก "วันที่มีเพศสัมพันธ์รอบแรก" อย่างน้อย 14 วัน (ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงมากกว่ารอบที่สอง) ไปก่อน ก็สามารถทำได้ค่ะ

และถ้าใช้ชุดทดสอบถูกวิธี แล้วผลตรวจออกมาเป็นไม่ตั้งครรภ์ ก็น่าจะสบายใจได้ว่ามีโอกาสตั้งครรภ์ได้น้อย (เพราะการมีเพศสัมพันธ์รอบสองมีความเสี่ยงน้อยมากถ้าใช้ถุงยางถูกวิธี และไม่มีปัญหารั่วซึมหรือฉีกขาด)

แต่ถ้ารอนานแล้วยังไม่มีประจำเดือนมาอีก ก็ควรตรวจซ้ำอีกครั้ง ในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจาก "วันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด" อย่างน้อย 14 วันนะคะ

การรับประทานยาคุมฉุกเฉิน ควรรับประทานเร็วที่สุดที่ทำได้ ยิ่งเร็วยิ่งดี อย่างช้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ค่ะ เมื่อแฟนของผู้ถามใช้ยาคุมฉุกเฉินครบขนาดและทันเวลา ก็อาจช่วยลดความเสี่ยงให้เป็น 15 - 25% แทนได้

แต่ถ้าเทียบกับการใช้ถุงยางป้องกันอย่างถูกวิธีและไม่มีปัญหารั่วซึมหรือฉีกขาด ก็จะเห็นได้ว่าแม้ยาคุมฉุกเฉินอาจช่วยลดความเสี่ยงที่มีได้ แต่ก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์มากกว่าการป้องกันด้วยวิธีคุมกำเนิดมาตรฐาน ดังนั้น ต่อไปไม่ควรนำยาคุมฉุกเฉินมาใช้เพียงเพราะไม่อยากใส่ถุงยางอนามัยนะคะ

และถ้าไม่ตั้งครรภ์ ผู้ใช้ยาคุมฉุกเฉินส่วนใหญ่จะมีประจำเดือนมาตรงตามรอบปกติเดิม หรือคลาดเคลื่อนไม่มากค่ะ ดังนั้น ถ้าไม่มีประจำเดือนมา หรือถ้ากังวลว่าจะตั้งครรภ์ ก็ควรตรวจให้ชัดเจนตามที่แนะนำไปข้างต้นนะคะ