January 27, 2020 18:11
ตอบโดย
สุวพัชญ์ พิศาลมงคล (นพ.)
สวัสดีครับ
การรับประทานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนไม่จำเป็นต้องเริ่มรับประทานภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือนเสมอไปครับ แต่หากเริ่มการรับประทานหลังวันที่ 5 ของประจำเดือนวันแรกต้องทานไปอย่างน้อย 7 วันครับถึงจะเริ่มมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยระหว่าง 7 วันนี้สามารถใช้ถุงยางอนามัยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ครับ ส่วนเรื่องโอกาสในการตั้งครรภ์นั้น ยาเม็ดคุมกำเนิดมีโอกาสการตั้งครรภ์ได้ประมาณร้อยละ 0.3-9 ส่วนถุงยางอนามัยนั้นมีโอกาสการตั้งครรภ์ได้ประมาณร้อยละ 2-18 ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
ในกรณีที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอและไม่มั่นใจว่าเลือดที่ออกมาคือประจำเดือนหรือไม่ ก่อนรับประทานยาคุมก็ควรต้องแน่ใจว่าไม่มีการตั้งครรภ์ก่อนครับ
ถ้าหากที่ผ่านมาได้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกันการตั้งครรภ์มาโดยตลอดอยู่แล้วก็สามารถเริ่มรับประทานยาคุมได้ทันที โดยในกรณีนี้ก็จะต้องรับประทานยาคุมติดต่อกันให้ได้อย่างน้อย 7 วันก่อนยาคุมจึงจะเริ่มป้องกันการตั้งครรภ์ได้ และในช่วง 7 วันแรกของการรับประทานยาคุมก็จะต้องใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ไปก่อนครับ
ส่วนประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์นั้น
- สำหรับการรับประทานยาคุมนั้นจะทำให้โอกาสตั้งครรภ์ลดลงไปเหลือเพียง 0.3-9% ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการรับประทานยาครับ
- ส่วนถุงยางอนามัยนั้นจะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 2-18% ขึ้นอยู่กับความถูกต้องของการใช้งาน และถุงยางอนามัยก็จะมีข้อดีเหนือกว่ายาคุมตรงที่เป็นการคุมกำเนิดวิธีเดียวที่สามารถใช้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วยครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
1. ยาคุมรายเดือนมีประสิทธิภาพสูงกว่ายาคุมฉุกเฉินค่ะ นั่นคือ หากใช้ยาคุมรายเดือนถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียงแค่ 0.3% ส่วนถุงยางอนามัย ถ้าใช้ถูกวิธี และไม่รั่วซึมหรือฉีกขาด จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 2% นะคะ
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของถุงยางอนามัยคือช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อีกทั้งยังไม่มีผลข้างเคียงจากฮอร์โมน ดังนั้น ในกรณีที่ไม่สะดวกจะใช้ยาคุมรายเดือน ก็สามารถใช้ถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เพียงอย่างเดียวได้ เพราะแม้จะประสิทธิภาพจะด้อยกว่า แต่ถ้าใช้ถูกต้องและไม่มีปัญหา ก็ถือว่ามีโอกาสตั้งครรภ์น้อยมากจนไม่น่าจะกังวลนะคะ
2. หากไม่มีโรคประจำตัวหรือข้อจำกัดใด ๆ ในการใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิด ถ้ามั่นใจว่าเลือดที่ออกมานั้นเป็นประจำเดือนจริง ๆ เมื่อเริ่มใช้ยาคุมรายเดือนแผงแรกภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ก็จะถือว่ามีผลคุมกำเนิดได้ตั้งแต่เม็ดแรกที่รับประทานค่ะ
แต่ถ้าไม่มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ เช่น ยังไม่มีเพศสัมพันธ์เลย ก็สามารถเริ่มรับประทานยาคุมแผงแรกได้โดยไม่ต้องรอให้ประจำเดือนมาก่อน แต่จะต้องรับประทานเม็ดยาฮอร์โมนของยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมติดต่อกันให้ครบ 7 วันก่อนจึงจะมีผลคุมกำเนิดได้ ในช่วงที่ยังไม่มีผลป้องกันจากยา จึงต้องงดมีเพศสัมพันธ์ หรือต้องใช้ถุงยางป้องกันไปก่อนนะคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
จะให้แฟนทานยาคุมแบบ28เม็ดแต่แฟนมีประจำเดือนมาไม่ตรงรอบ จะเลทบ้าง จะมีผลอะไรไหมครับ แล้วระหว่างยาคุมกำเนิดกับถุงยางอนามัย อันไหนมีโอกาศตั้งครรภ์มากกว่ากัน ใช้ถุงยางแล้วไม่สบายใจครับ แล้วถ้าทานยาคุมควรทานช่วงประจำเดือนมาหรือไม่จำเป็นครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)