ปวดหัวบ่อยมากค่ะ

อาการปวดหัวเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ละสาเหตุอาการอาจไม่เหมือนกันค่ะ เช่น 1.อาการปวดหัวจากความตึงเครียด การทำงานหนัก เพลีย โกรธ อาการคล้ายๆ ปวดที่ขมับ ท้ายทอย รู้สึกตึงๆ เหมือนมีอะไรรัดศีรษะ การรักษาอาจใช้ยาแก้ปวดหัวธรรมดา นอนพักผ่อน 2.อาการปวดหัวซึ่งมีอาการร่วมของโรคอื่นๆ อาจสังเกตจากอาการ เช่น 2.1 ปวดระยะสั้นๆ แต่รุนแรง อาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดในสมองหรือเลือดออกในสมอง โดยเฉพาะถ้ามีอาการคอตึงแข็งหรืออาเจียนอาจเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ 2.2 ปวดสม่ำเสมอและปวดนานๆ มักเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดจากความตึงเครียด หรือปวดหัวไมเกรน 2.3 ปวดแปล๊บๆ เหมือนไฟช็อต บริเวณหน้า แก้ม โดยเฉพาะเวลาเคี้ยว อาจจะเป็นอาการของโรคปลายประสาทอักเสบ 2.4 ปวดหัวถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตามัวพร่ามากขึ้น หรือเห็นภาพซ้อน ร่างกายอ่อนแรง ชาตามปลายนิ้วมือนิ้วเท้า และน้ำหนักลด กินอาหารไม่ได้ อาจเป็นโรคมะเร็งในสมอง 2.5 ปวดหัวตุ๊บๆ ข้างเดียวหรือสองข้าง ก่อนปวดมีอาการเห็นแสงแปลกๆ คลื่นไส้ เป็นอาการปวดไมเกรน 2.6 ปวดแล้วมีอาการปวดหน้าผาก มีน้ำมูกไหลร่วมด้วย อาจจะเป็นการปวดจากไซนัส 2.7 ปวดฉับพลันที่ท้ายทอย และมีอาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียน และอ่อนแรงทันที อาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองแตก 2.8 ปวดหัวและปากเบี้ยว ตาปิดไม่สนิท แขนขาอ่อนแรง เดินเซ หรือชาตัวครึ่งซีก อาจเป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบ 2.9 ปวดมากที่ขมับหรือปวดเมื่อยทั้งตัว ในคนอายุมากอาจเป็นอาการของหลอดเลือดสมองอักเสบ ***ถ้าเป็นอาการปวดหัวที่ไม่รุนแรงสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยการผ่อนคลายความตึงเครียดเหนื่อยล้า ด้วยการพยายามพักสายตา พักผ่อนร่างกายและจิตใจให้เพียงพอ เปลี่ยนอิริยาบถจากงานประจำที่เป็นอยู่ ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเพื่อพักสมอง เช่น ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ หรือฟังธรรม เปลี่ยนองค์ประกอบในบ้านหรือโต๊ะทำงาน เช่น จัดห้อง จัดโต๊ะทำงาน ให้รู้สึกโล่ง สบาย ไม่อุดอู้ ออกกำลังกายสม่ำเสมอการออกกำลังการจะทำให้ระบบไหลเวียนของการร่างกายทำงานดีขึ้นและผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบศีรษะ นวดประคบ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นนวดบริเวณขมับ ท้ายทอย และต้นคอ จะทำให้รู้สึกดีขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบศีรษะได้ค่ะ *** ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาควรใช้ยาพาราเซตามอลแล้วดื่มน้ำตามมากๆ แต่ไม่ควรกินบ่อยครั้ง หากมีอาการรุนแรงเกินกว่าที่ยาจะบรรเทาอาการลงได้ก็ควรไปพบแพทย์ตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมค่ะ