ผมเป็นคนจัดฟัน แต่วันนั้นกลับมามั่นใจว่าไม่มีแผล แต่ไปจูบกับคนติดเชื้อ hiv ที่ปากเขาแห้ง เหมือนเขาบอกเจ็บปากไม่รู้มีเลือดไหม เขาบอกทีหลังว่าติดเชื้อ เลยไปรับยา pepที่โรงพยาบาลรัฐ เป็นยา m171 ตอนเช้าที่ไปรับยาเหมือนรู้สึกหนาว แล้วกินยาตอน9โมงเช้า นับได้34ชั่วโมงหลังเสี่ยงมา แต่ต้องบอกก่อนครับผมเป็นภูมิแพ้ วันเสี่ยงขับรถกลับมาจากต่างจังหวัดนอนน้อยมาก แล้วพอทราบข่าวว่าเขาติดเชื้อ hiv วันรุ่งขึ้นก็นอนไม่หลับ ทำให้เช้าวันไปรับยาเหมือนมีไข้ พอรับยามาทาน รู้สึกมึนเมามาก เหนื่อยจนไข้ขึ้น พออ่านในเน็ตบอกถ้ามีไข้แสดงว่าติดเชื้อหรือยาไม่ได้ผล ไข้เป็นไข้อ่อนๆ พอเจอฤทธิ์ยาเหมือนอาการหนักทุกทีเลย (ผมจูบและไม่ได้มีเพศสัมพันธุ์กับเขาครับ) ตอนนี้กกินยาพารา500mg ได้1วันครึ่งครับ อาการไข้เริ่มลด

สวัสดีค่ะ
จากที่เล่ามาโอกาสติดเชื้อค่อนข้างน้อยมากอยู่แล้วค่ะ โดยถ้าทาน PEP ภายใน72ชะ่วโมง นิ่งลดอัตราการติดเชื้อได้อีกมาก
สำหรับอาการไข้ ไม่น่าเกิดจากการติดเชื้อ HIV เพราะปกติจะมีระยะฟักตัวภายหลังได้รับเขื้อประมาน14วัน
อาการเวียนมึน อาจเป็นผลข้างเคียงของนา แนะนำปรึกษาแพทย์เรื่องผลข้างเคียงอีกครั้งค่ะ

สวัสดีครับ
การจูบนั้นจะไม่ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV เนื่องจากเชื้อ HIV จะไม่ติดต่อผ่านทางน้ำลายครับ แต่ถ้าหากกังวลว่าอีกฝ่ายจะมีแผลในปากและจะรับประทานยา PEP ไปก่อนก็สามารถทำได้ครับ

และถึงแม้จะมีไข้อาการนี้ก็ไม่ได้บ่งบอกถึงการติดเชื้อ HIV แต่อย่างใด เพราะการมีไข้นั้นก็อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อไวรัสทั่วไป การติดเชื้อในทางเดินหายใจ การติดเชื้อในทางเดินนอาหาร ฯลฯ

ในกรณีนี้อาจรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ทุก 4-6 ชั่วโมงก่อนได้ครับ แต่ถ้าหากไข้ไม่สดลงใน 2-3 วัน หมอก็แนะนำว่าควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการและให้การรักษาเพิ่มเติมครับ

าจเกิดได้จากการติดเชื้อไวรัสในร่างกาย เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ การติดเชื้อเอชไอวีในระยะเริ่มแรกก้อาจมีไข้ คล้ายไข้หวัดได้หากมีความเสี่ยงจูบโดยมีแผลที่ปากและมีเลือดออกครับ

ฉะนั้นควรทานยาหลังมีความเสี่ยง เป็นเวลา1เดือน โดยยานี้อาจมีผลข้างเคียง ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ได้ครับ

หลังทานยาครบ1เดือน ควรตรวจanti-hiv เพื่อตรยจการติดเชื้อ และควรตรวจยืนยันผลอีกครั้งที่3เดือนครับ ซึ่งจะเชื่อถือได้99% ครับ