มีพสพ.ใส่ถุงยางตลอดแต่ไม่แน่ใจว่าตอนที่ถอดแล้วใส่ถุงใหม่มือเปื้อนน้ำรึเปล่ากลัวมือเปื้อนเพราะนิ้วที่จับถอดใช้นิ้วเดียวกับตอนใส่และใส่อีก2รอบจึงทานยาคุมฉุกเฉินแต่หลังจากมีพสพ.เกิน24ชม.น่าจะประมาณ27ชม.เม็ดแรกส่วนเม็ดสองทานหลังจากเม็ดแรก1-2ชม.จะเสี่ยงท้องมั้ยแล้วกินยาแล้วกินอาหารอย่างอื่นมีผลต่อยามั้ย

สวัสดีครับ
ถ้าหากได้ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์อย่างถูกต้องแล้วก็จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้เพียง 2% เท่านั้นครับ ส่วนการที่อาจมีการใช้มือที่เปื้อนอสุจิมาจับถุงยางอนามัยนั้นมีโอกาสที่จะทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ยากมาก เนื่องจากอสุจิที่ออกมาสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกแล้วมักมีการเสื่อมสภาพไปในเวลาอันรวดเร็วครับ ในกรณีนี้จริงๆแล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินตั้งแต่แรก

ส่วนการรับประทานอาหารไม่มีผลต่อประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินครับ

1.กรณีสงสัยว่า อาจมีอสุจิติดกับถุงยางภายนอก เเละมีการสอดใส่ สามารถพิจารณายาคุมฉุกเฉินได้ครับ

2.การกินยาคุมฉุกเฉิน กินได้สองวิธี
- รับประทานทันที 2 เม็ด
- รับประทาน 1 เม็ดทันที เเละรับประทาน เม็ดต่อไป ในอีก 12 ชม. สองวิธีประสิทธิภาพไม่เเตกต่างกัน
ดังนั้นคนไข้จะกินห่างกัน1-2ชมนั้น ไม่ทีปัญหาครับ

3.การกินยา สำคัญที่เวลาที่กินเม็ดเเรก โดยถ้ากินภายใน 12-24 ชม.แรกของการมีเพศสัมพันธ์ จะคุมกำเนิดได้ประมาณ 85% รับประทานภายใน 72 ชม. ประมาณ 75%
ส่วนถ้าเกิน 72 ชม.แต่ยังไม่เกิน 120 ชม. จะประมาณ 60% ครับ
สรุปคือยิ่งรับประทานช้า จะยิ่งมีโอกาสท้องครับ

4. หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินจะมีเลือดออกทางช่องคลอดได้ประมาณภายใน1 สัปดาห์หลังกินยา ซึ่งมักไม่ใช่เลือดประจำเดือน (อาจจะมากระปริบกระปรอย หรือ ไม่มีก็ได้ครับ ไม่ได้บอกว่าท้องหรือไม่ท้องครับ)
ส่วนประจำเดือนจริงๆจะมาไกล้เคียงกับรอบประจำเดือนปกติ เเต่อาจมาเร็วหรือช้ากว่ารอบเดือนปกติได้ 1-3สัปดาห์
ดังนั้น หากเกิน3สัปดาห์ไปเเล้วจากวันที่ประจำเดือนควรจะมา ก็มีโอกาสหลุดท้องครับ
ให้ตรวจการตั้งครรภ์ครับ

หากต้องการรีบตรวจการตั้งครรภ์ ตรวจได้เร็วที่สุด2สัปดาห์หลังมีเพศสัมพันธ์ครับ
ระหว่างรอประจำเดือนจริงๆมา ถ้ามีเพศสัมพันธ์ใช้ถุงยางอนามัยไปก่อนครับ
ถ้าชัวร์ว่าไม่ท้องคือประจำเดือนมาเเล้ว เเนะนำเลือกวิธีคุมกำเนิด เช่น ยาคุมรายเดือน ฝังยาคุม ฉีดยาคุม หรือใช้ถุงยางอนามัยครับ

ถ้าไม่มั่นใจว่าใช้ถุงยางถูกวิธี ก็สามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉินเป็นวิธีป้องกันสำรองได้ค่ะ เพราะถ้าไม่มีผลป้องกันจากถุงยางอย่างที่กังวล การใช้ยาคุมฉุกเฉินเร็วและครบขนาดอาจช่วยลดความเสี่ยงที่มีใ้ห้เป็น 15% แทนได้

การใช้ยาคุมฉุกเฉินชนิดที่มีแผงละ 2 เม็ด มีการแนะนำให้วิธีใช้อยู่ 2 วิธีค่ะ โดยถ้าเป็น "วิธีดั้งเดิม" จะให้รับประทานครั้งละเม็ด ห่างกัน 12 ชั่วโมง หรือถ้าเป็น "วิธีใหม่" ก็ให้รับประทาน 2 เม็ดพร้อมกันในครั้งเดียว

ไม่ว่าจะใช้ตามวิธีดั้งเดิมหรือวิธีใหม่ ให้รับประทานเร็วที่สุดที่ทำได้ ยิ่งเร็วยิ่งดี อย่างช้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ (แต่ถ้าใช้เร็วภายใน 72 ชั่วโมงแรก จะมีประสิทธิภาพดีกว่า 72 - 120 ชั่วโมง)

ดังนั้น ถ้าผู้ถามไม่ได้พิมพ์ผิด นั่นคือรับประทานแต่ละเม็ดห่างกัน 1 - 2 ชั่วโมง ก็ไม่ถูกต้องตามที่มีการแนะนำให้ใช้นะคะ อย่างไรก็ตาม เมื่อรับประทานครบขนาดไปแล้ว และแม้จะรับประทานพร้อมอาหารอื่น ๆ ก็ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องซื้อแผงใหม่มารับประทานซ้ำอีก

ควรรอดูว่าจะมีประจำเดือนมาตามรอบปกติเดิมหรือไม่ แต่ไม่ต้องสนใจว่าจะมีเลือดกะปริบกะปรอยภายใน 7 วันหลังรับประทานหรือเปล่า เพราะเป็นเพียงผลข้างเคียงจากยา ไม่ได้สำคัญอะไร

ถ้าไม่มีประจำเดือนมา หรือถ้ากังวลว่าจะตั้งครรภ์ สามารถตรวจให้ชัดเจนได้ โดยใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะ ตรวจในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันนะคะ

การรับประทานยาคุมฉุกเฉินชนิดที่มีแผงละ 2 เม็ดตาม "วิธีดั้งเดิม" ให้รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ห่างกัน 12 ชั่วโมงค่ะ เช่น ถ้ารับประทานเม็ดแรกตอนเที่ยงวัน (12.00 น.) ก็ต้องรับประทานเม็ดที่สองตอนเที่ยงคืน (24.00 น.) ของวันนั้นค่ะ

ถ้าหากอสุจิถูกหลั่งออกมาภายนอกแล้วก็มักจะมีการเสื่อมสภาพไปแล้วในเวลาไม่นานครับ ในกรณีนี้ต่อให้ใช้นิ้วที่มีอสุจิติดอยู่บ้างสอดใส่เช้าไปก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้เกิดการตั้งครรภ์ครับ ในกรณีนี้จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ครับ

ในกรณีนี้หมอแนะนำให้ลองสังเกตจากลักษณะของเลือดที่ออกมาเพื่อแยกระหว่างประจำเดือนกับผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉินครับ ซึ่งก็จะมีความแตกต่างกันคือ
- ถ้าเป็นประจำเดือนเลือดที่ออกมาก็ควรอยู่ในช่วงที่ใกล้เคียงกับกำหนดที่ประจำเดือนจะมา ซึ่งก็มักห่างจากรอบประจำเดือนเดิม 21-35 วัน เลือดจะออกมาติดต่อกันนาน 3-7 วัน และใช้ผ้าอนามัยวันละ 2-3 แผ่น
- ถ้าหากเป็นผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉินเลือดก็จะออกมาในลักษณะเลือดออกกระปริดกระปรอย และออกมาติดต่อกันนาน 3-7 วันครับ

นอกจากนี้ถ้าหากไม่มีประจำเดือนมาตามปกติในรอบเดือนนี้ หมอก็แนะนำให้ตรวจการตั้งครรภ์ยืนยันดูด้วย โดยให้ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะแรกหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจ ก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ