ศรีษะต้องได้รับแรงกระแทกมากแค่ไหน ถึงจะสามารถทำให้มีอาการเลือดคั่งได้คะ เมื่อวานนี้ มีอุบัติเหตุกระแทกด้วยเก้าอี้และโต๊ะ เจ็บซักพักจึงหาย วันนี้มีอาการปวดหัวเล็กน้อย ไม่มีรอยช้ำ หรือ บวม เลยค่ะ

บอกยากครับ ต้องดูอาการอื่นประกอบด้วยครับ

ถ้าอาการทั่วไปปกติ ไม่มีหมดสติ ไม่มีคลื่นไส้อาเจียนพุ่งไม่มีแผลฉีกขาดต้องเย็บเเผล มีเเค่ปวดตรงที่บวม เเบบนี้กินยาเเก้ปวดเช่น Paracetamol ประคบเย็นบ่อยๆ(เอาCold pack หรือเอาน้ำเเข็งใส่ถุงพลาสติกห่อผ้าขนหนูประคบบ่อยๆครับ ใน48 ชม.เเรก) สังเกตอาการอยู่บ้านได้ครับ

แต่ถ้ามีอาการเช่น จำเหตุการณ์ไม่ได้ ปวดหัวทั่วๆไม่ใช่เฉพาะตรงที่บวม(ถ้าปวดเเค่ตรงที่หัวโนหรือจะดที่กระเเทกโดยตรงถือเป็นเรื่องปกติ เพราะมีการกระเเทก จุดนั้นก็ต้องมีการอักเสบ มีอาการปวดครับ)
มีคลื่นไส้อาเจียนพุ่ง
มีรอยช้ำชัดเจนบริเวณขอบตาหรือกกหู
มีหมดสติ มีเเขนขาอ่อนเเรงยกไม่ขึ้น
ควรไปพบเเพทย์ครับ
เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะมีเลือดออกในสมองตามมาได้ครับ
ส่วนใหญ่คุณหมอจะพิจารณาให้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์(CT scan brain) หรือให้นอนรพ.สังเกตอาการ ทางระบบประสาทครับ

สวัสดีครับ
โดยปกติแล้วการกนะแทรกที่ศีรษะที่รุนแรงจนสามารถทำให้มีเลือดคั่งในสมองได้นั้นมักจะต้องเป็นการกระแทกรุนแรงจนทำให้สลบครับ

ถ้าหากเป็นการกระแทกกับโต๊ะหรือเกิาอี้และมีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อยโอกาสที่จะมีเลือดคั่งในสมองก็น้อยครับ

ในกรณีนี้หมอแนะนำให้บรรเทาอาการปวดโดยการรับประทานยาพาราเซตามอลทุก 4-6 ชั่วโมงตามอาการ และอาจใช้การประคบเย็นช่วยได้ และให้คอยสังเกตอาการของตัวเองว่าถ้าหากมีอาการปวดศีรษะรุนแรงมากขึ้น ตามัวมองเห็นภาพไม่ชัด อาเจียน หรือมีอาการชาอ่อนแรงตามตัว ก็ให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการและให้การรักษาเพิ่มเติมครับ

สวัสดีครับ
แรงกระแทกที่ทำให้เลือดออกในสมองหรือเกิดอันตรายในแต่ละคนไม่เท่ากันครับ ซึ่งอาการต่างๆที่ควรจะไปพบแพทย์ทันทีเพื่อประเมินอาการยกตัวอย่างเช่น
- ง่วงซึมมากขึ้นกว่าเดิม หรือไม่รู้สึกตัว หมดสติ
- กระสับกระส่ายมาก พูดลำบาก หรือมีอาการชักกระตุก
- กำลังของแขนและขาลดน้อยลงกว่าเดิม
- ชีพจรเต้นช้ามาก หรือมีไข้สูง
- คลื่นไส้มาก อาเจียนติดต่อกันหลายครั้ง
- ปวดศีรษะรุนแรง โดยไม่ทุเลา
- มีเลือดใสๆ หรือน้ำใสออกจากหู หรือลงคอ หรือออกจากหู
- คอแข็ง
- วิงเวียนมาก หรือมองเห็นภาพพร่า ปวดตุบๆ ในลูกตา
- อาการอื่นๆ ซึ่งผิดแปลกออกไปจากเดิม เป็นที่น่าสงสัย
อาการต่างๆเป็นคำแนะนำเบื้องต้นของราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย หากผู้ถามมีความกังวลแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการเพิ่มเติมได้ครับ