สอบถามนะคะ ตกขาวในรูปแบบนี้ปกติไหมคะ เป็นแบบนี้มาสักพักใหญ่ๆแล้วค่ะ ลักษณะไหลเป็นน้ำ คล้ายเหมือนเป็นประจำเดือนไหล ไม่แสบไม่คันไม่ปวดท้องน้อย มีกลิ่นคาวนิดๆค่ะ หรือว่าเป็นไปได้ไหมคะ ว่าเป็นน้ำที่ ผช.หลั่งในเข้าไป มันไหลออกมา แต่คือเป็นแบบนี้บ่อยมากสองเดือนได้แล้วค่ะ

สวัสดีครับ
การที่มีตกขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและมีกลิ่นคาวผิดปกตินั้นอาจเกิดได้จากการที่แบคทีเรียในช่องคลอดเสียสมดุล (Bacterial vaginosis) หรือ จากการติดเชื้อบางอย่างในช่องคลอดได้ แต่อาการในลักษณะนี้จะไม่ได้เกิดจากน้ำอสุจิของผู้ชายที่หลั่งเข้าไปครับ

ในกรณีนี้หมอแนะนำว่าควรไปพบแพทย์นรีเวชเพื่อตรวจประเมินอาการเพิ่มเติมให้ทราบสาเหตุที่แน่ชัดก่อนเพื่อที่จะได้ให้การรักษาได้อย่างเหมาะสมครับ

ถ้ามีเพศสัมพันธ์มานานเเล้ว ก็ไม่น่าใช่น้ำจากของผู้ชายเเล้วนะครับ
กรณีดูจากคราบนั้นตอบยากเลยครับ ต้องตรวจดูลักษณะตกขาวโดยการตรวจภายในครับ ถ้ามีเวลาก็เเนะนำพบสูตินรีเเพทย์ดีกว่าครับ

ตกขาว คือ ของเหลวที่ไหลออกมาจากช่องคลอด เป็นของเหลวที่ถูกขับออกจาก ปากมดลูก ปากช่องคลอด และเซลล์ของเยื่อบุผนังช่องคลอดที่ตายและหลุดออกมา ครับ
ตกขาวที่ปกติคือ มีสีขาวขุ่น มีกลิ่นคาวเล็กน้อย อาจมีมากตามฮอร์โมนในรอบเดือนได้ครับ แต่ถ้าไม่ได้มีอาการคันเเสบช่องคลอด ไม่ได้มีกลิ่นเหม็น ก็น่าจะปกติครับ ไม่ต้องรักษา

กรณีที่ต้องพยเเพทย์คือ

- ถ้าตกขาว ขาวข้นเป็นก้อนคล้ายๆนม ร่วมกับคันช่องคลอด แสบช่องคลอด อาจเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดครับ
- ส่วนถ้าตกขาวขุ่นเขียวเหลืองๆ จะมีเลือดปนด้วยหรือไม่มี อาจเป็นการติดเชื้อเเบคทีเรียเช่นหนองใน หรือโปรโตซัวพวก Trichomonas อาจติดเชื้อมาจากคู่นอนก็เป็นไปได้ครับ
- ถ้าตกขาวมีกลิ่นอับ(musty)หรือคาวปลา(fishy) มีกลิ่นรุนแรงภายหลังการร่วมเพศ ซึ่งเกิดจากการทําปฏิกิริยากับอสุจิซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่างแล้วปล่อยกลิ่นออกมา
จะคิดถึงโรคติดเชื้อในช่องคลอดชนิดหนึ่ง คือ Bacterial vaginosisครับ

หากมีกรณีเหล่านี้ ควรปรึกษาเเพทย์หรือเภสัชกรในเบื้องต้น พิจารณารับประทานหรือสอดยาฆ่าเชื้อครับขึ้นกับว่าติดเชื้ออะไร เช่น ถ้าเเบคทีเรีย ส่วนใหญ่ให้ Metronidazole ส่วนเชื้อรามักใช้เป็น Clotrimazoleสอดครับ

เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนจึงยังไม่สามารถแนะนำตัวยาที่เหมาะสมสำหรับการรักษาได้ครับ ยาที่ใช้ในการรักษาอาการตกขาวนั้นจะแตกต่างกันไปตามชนิดของสาเหตุและเชื้อก่อโรคที่เป็นสาเหตุ

ในกรณีนี้หมอแนะนำว่าควรไปพบแพทย์นรีเวชเพื่อตรวจประเมินอาการหาสาเหตุดูก่อนจะดีกว่าครับ