กินยาคุมแบบ28เม็ดมา5ปี​ พึ้งหยุดกิน​ ปะจำเดือนครั้งสุดท้าย​ วันที่​ 4กพ.-8กพ.​ ตอนนี้ครบกำหนดปะจำเดือนมาแล้ว​ ขาดมา4วันเเล้วค่ะ​ ตรวจ​ ไปแล้ว3วัน​ ตั้งเเต่ขาด​ แต่ขึ้น1ขีดคะ​ มีเพศสัมพันแบบหลังนอก​ อยากทราบว่าหยุดยาคุมแล้ว​ ปะจำเดือนเลื่อนได้ไหมคะ​ หรือมีโอกาสตั้งครรภมากน้อยแค่ไหนคะ

ถ้าผู้ถามหยุดใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม เมื่อไม่มีผลจากฮอร์โมนในยาคุมมากำกับช่วงเวลาที่จะมีประจำเดือนแล้ว การมาหรือไม่มาของประจำเดือนก็จะขึ้นกับฮอร์โมนตามธรรมชาติในร่างกายของผู้ถามเองค่ะ

จึงอาจไม่ได้มาตามรอบ 28 วันเหมือนกับช่วงที่รับประทานยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม หรืออาจคลาดเคลื่อนได้จากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ความเครียด, การเจ็บป่วย หรือความแปรปรวนของฮอร์โมนตามวัย

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเคยใช้ยาคุมติดต่อกันมานานแค่ไหน แต่เมื่อหยุดใช้ก็จะไม่มีผลคุมกำเนิดต่อเนื่องจากยาที่เคยรับประทานอีกแล้วนะคะ ถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยใช้วิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพต่ำอย่างการหลั่งนอก จึงมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากกว่าที่ควรจะเป็น

ดังนั้น หากไม่มีประจำเดือนมา แนะนำให้ตรวจการตั้งครรภ์ให้ชัดเจนนะคะ ซึ่งหากใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะ ควรตรวจให้ถูกวิธีตามที่ระบุไว้ในฉลาก และตรวจในเวลาที่เหมาะสม นั่นคือ ในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วัน

ซึ่งถ้าผู้ถามใช้ชุดทดสอบถูกวิธี และตรวจในเวลาที่เหมาะสมแล้ว เมื่อได้ผลตรวจออกมาเป็น 1 ขีด ก็เชื่อมั่นได้มากกว่า 99% (หรือตามที่ชุดทดสอบยี่ห้อที่ใช้ให้การรับรอง) ว่าไม่มีการตั้งครรภ์ค่ะ

แต่ถ้าผู้ถามใช้ชุดทดสอบไม่ถูกวิธี หรือตรวจในเวลาที่ไม่เหมาะสม ผลตรวจนั้นก็เชื่อถือไม่ได้ จึงควรตรวจใหม่ให้ถูกต้องนะคะ

และครั้งต่อไปที่จะมีเพศสัมพันธ์ ถ้ายังไม่พร้อมที่จะมีบุตร ก็ควรให้แฟนใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งค่ะ

สวัสดีครับ
ถ้าหากในช่วงที่หยุดรับประทานยาคุมไม่ได้ใีเพศสัมพันธ์เลยก็จะไม่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ครับ และถ้ามีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ยังรับประทานยาคุมอยู่ก่อนหน้านี้ก็จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้เพียง 0.3-9% เท่านั้นขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการรับประทานยาที่ผ่านมาครับ จากที่เล่ามาโอกาสตั้งครรภ์จึงยังมีน้อย

หลังจากหยุดรับประทานยาคุมไปแล้วประจำเดือนก็ควรจะยังมาอย่างสม่ำเสมออยู่แต่อาจมีระยะห่างที่แตกต่างจากช่วงที่รับประทานยาคุมได้บ้างเพราะไม่ได้มีการควบคุมฮอร์โมนจากยาคุมแล้ว แต่ถ้าหากต้องการความมั่นใจจริงๆก็สามารถลองตรวจการตั้งครรภ์ยืนยัรดูได้ครับ โดยให้ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะแรกหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ

แต่ถ้าหากตรวจแล้วไม่พบการตั้งครรภ์ประจำเดือนก็อาจมาช้าได้จากสาเหตุอื่นๆ เช่น
- ไม่มีการตกไข่ในรอบเดือนที่ผ่านมา
- ระดับฮอร์โมนในเลือดที่ผิดปกติ
- ภาวะมีถุงน้ำหลายใบในรังไข่ (PCOS)
- ไทรอยด์เป็นพิษ
- การออกกำลังกายอย่างหักโหม
- น้ำหนักตัวที่มากหรือน้อยเกินไป
- ความเครียด
เป็นต้น
ซึ่งในกรณีนี้ก็อาจรอประจำเดือนต่อไปก่อนได้อีกระยะหนึ่ง แต่ถ้าหากประจำเดือนขาดหายไปนานกว่า 3 เดือนก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุครับ

ถ้ายาคุมแบบ 28 เม็ดที่ผู้ถามเคยใช้เป็น "ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม" หากไม่ตั้งครรภ์ ควรจะมีประจำเดือนมาในช่วงที่รับประทาน "เม็ดแป้ง" ของแผงค่ะ เป็นผลจากการได้รับและไม่ได้รับฮอร์โมนตามรูปแบบของยาคุมนั่นเอง

นั่นคือ จากที่เคยได้รับฮอร์โมนต่อเนื่องในช่วงที่รับประทาน "เม็ดยาฮอร์โมน" ของแผง เมื่อถึงช่วงที่รับประทาน "เม็ดแป้ง" ซึ่งไม่มีฮอร์โมนใด ๆ เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะเกิดการหลุดลอกและมีประจำเดือนมา

ผู้ใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม จึงมีรอบประจำเดือนเป็น 28 วันค่ะ (นั่นคือ มีประจำเดือนมาทุก ๆ 28 วันโดยประมาณ)

แต่เมื่อผู้ถามไม่ได้รับประทานยาคุมต่อแล้ว ก็ไม่มีอิทธิพลจากฮอร์โมนในยาคุมไปกำหนดเวลาที่จะมีประจำเดือนมาหรือไม่มาอีกแล้วนะคะ แต่จะขึ้นอยู่กับฮอร์โมนตามธรรมชาติในร่างกายของผู้ถามเอง

ซึ่งรอบประจำเดือนของผู้ที่ไม่ได้ใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมอาจเป็น 24 - 35 วัน แตกต่างกันไปในแต่ละราย และหากมีปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจทำให้ฮอร์โมนแปรปรวน เช่น ความเครียด, การเจ็บป่วย หรือแม้แต่ความแปรปรวนของฮอร์โมนตามวัย ก็อาจส่งผลให้ประจำเดือนคลาดเคลื่อนไปได้

นอกจากนี้ เมื่อหยุดใช้ยาคุมก็จะไม่มีผลคุมกำเนิดจากยาคุมที่เคยใช้อีกแล้ว การมีเพศสัมพันธ์หลั่งนอกถือเป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพต่ำ จึงมีโอกาสผิดพลาดได้สูงกว่าวิธีคุมกำเนิดมาตรฐานหลายเท่า

เมื่อผู้ถามยังไม่มีประจำเดือนมาก็ควรตรวจการตั้งครรภ์ให้ชัดเจนนะคะ แต่ควรตรวจให้ถูกต้อง นั่นคือ ใช้ชุดทดสอบให้ถูกวิธีและตรวจในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ผลตรวจเชื่อถือได้มาก

และถ้าผู้ถามไม่มีประจำเดือนมาติดต่อกันตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปทั้งที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ หรือถ้ามีปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติอยู่เรื่อย ๆ ไม่ได้เป็นผลจากยาคุมที่เคยใช้ค่ะ จึงควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมหาสาเหตุที่แท้จริง และพิจารณาการรักษาที่เหมาะสมนะคะ