หมัด เป็นปรสิตภายนอกที่พบได้บ่อย โดยหมัดแต่ละชนิดจะไม่จำเพาะต่อโฮสต์ เช่น หมัดสุนัข (Ctenocephalides canis) ก็สามารถอาศัยอยู่กับแมวได้ และหมัดแมว (Ctenocephalides felis) ก็สามารถอยู่บนตัวสุนัขได้เช่นกัน
หมัดแมว (Ctenocephalides felis) สามารถก่ออันตรายแก่ตัวเจ้าเหมียวได้ เช่น ทำให้เกิดภาวะแพ้ (Flea bite allergy) ติดพยาธิตืดแตงกวา ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Mycoplasma haemofelis
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
หมัดแมว มี 4 ระยะ โดยระยะตัวเต็มวัย (Adult) เท่านั้น ที่จะอาศัยอยู่บนตัวสัตว์ หมัด 1 ตัวอาจมีชีวิตอยู่บนตัวโฮสต์ได้นานถึง 2 เดือน หมัดตัวเมียจะวางไข่วันละ 40-50 ฟอง เป็นเวลา 50 วัน ดังนั้นจึงสามารถวางไข่ได้ถึง 2,000 ฟอง/ตัว ไข่หมัดจะร่วงลงสู่พื้นแล้วฟักเป็นตัวอ่อน (Larvae) จึงมีตัวอ่อนจำนวนมากอยู่ในสิ่งแวดล้อมบริเวณที่โฮสต์อาศัย เช่น พรม กองผ้า หรือตามรอยแยกของพื้น (ตัวอ่อนจะมีลักษณะคล้ายตัวหนอน) จากตัวอ่อนจะพัฒนาเป็นดักแด้ (Pupae) แล้วพัฒนาเป็นตัวเต็มวัยภายในรังดักแด้
การฟักตัวจากดักแด้จะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ และสภาพการเคลื่อนไหวในบริเวณนั้น
อาจกล่าวได้ว่า หมัดตัวเต็มวัยที่อยู่บนตัวน้องเหมียวเป็นเพียง 5% ของประชากรหมัดภายในบ้าน (อีก 95% อยู่ในสิ่งแวดล้อม) หรือหากเราพบหมัดเพียง 1 ตัวอาจหมายความว่ามีอีกอย่างน้อย 9 ตัว อยู่ในบ้าน ดังนั้นการกำจัดหมัดให้ได้ผลจึงต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อย 8 สัปดาห์ จึงจะตัดวงจรหมัดที่มีอยู่ได้หมด
หมัดตัวเต็มวัยเคลื่อนตัวได้เร็ว จึงอาจไม่พบตัว แต่หากพบมูลหมัด (Flea dirt) ซึ่งเป็นของเสียที่หมัดปล่อยออกมาหลังจากกัดโฮสต์ ก็สามารถอนุมานได้ว่ามีหมัดอาศัยอยู่ โดยจะพบลักษณะเป็นผงสีน้ำตาลเข้ม-ดำ คล้ายพริกไทย เมื่อถูกน้ำ (ลองเช็ดด้วยทิชชูเปียก หรือสำลีชุบน้ำ) จะกลายเป็นสีน้ำตาลแดงเข้ม
นอกจากนี้หมัดแมวยังเป็นพาหะนำโรคมาสู่คนด้วย ได้แก่โรคต่อไปนี้
- พยาธิตืดแตงกวา (พยาธิตืดสุนัข, Dipylidium caninum)
พบการติดพยาธิได้บ่อยในสุนัขและแมว สำหรับคนจัดเป็นโฮสต์โดยบังเอิญ (Accidental host) และมีหมัดเป็นโฮสต์สื่อกลาง (Intermediate host) ไม่ว่าจะเป็นหมัดแมว หมัดสุนัข หมัดคน หรือเหาสุนัข
ไข่พยาธิจะเข้าไปเจริญเป็นระยะติดต่อในตัวอ่อนของหมัด จนกระทั่งหมัดพัฒนาเป็นตัวเต็มวัย เมื่อโฮสต์ (ได้แก่ สุนัข แมว หรือคน) กินตัวหมัดเข้าไป (โดยบังเอิญ) พยาธิก็จะไปเจริญเป็นตัวเต็มวัยในลำไส้ของโฮสต์ภายใน 3-4 สัปดาห์
ความรุนแรงของการก่อโรคในคนขึ้นอยู่กับจำนวนพยาธิและสภาพตัวรับของเสียที่พยาธิปล่อยออกมา ซึ่งจะมีผลต่อการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด (แต่ละคนจะมีสภาพตัวรับนี้แตกต่างกัน) โดยอาจมีอาการทางลำไส้เล็กน้อย เช่น เบื่ออาหาร ย่อยอาหารได้ไม่ดี หรือพบปล้องพยาธิปนออกมากับอุจจาระ - ไข้รากสาดใหญ่จากหนู (Murine Typhus, Shop House Typhus)
พบเชื้อในหนูและแมว โดยมีหมัดแมว และหมัดหนูเขตร้อน (Xenopsylla cheopsis) เป็นตัวนำโรค ในคนจัดเป็นโฮสต์โดยบังเอิญ ในชุมชนสามารถพบการติดเชื้อจากคนสู่คนได้จากการถูกเหากัด โดยทั่วไปจะติดเชื้อจากการถูกหมัดที่มีเชื้อกัด หรือมูลหมัด (ที่หมัดขับถ่ายออกมาขณะกัด) เข้าสู่บาดแผลโดยการเกา
อาการในคนจะคล้ายกับโรคติดเชื้อเฉียบพลันทั่วไป เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ อาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถพบภาวะหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ตับหรือม้ามโต ตัวเหลือง อาจพบผื่นที่ต้นแขน ต้นขา ร่วมด้วย - อาการแพ้ที่ผิวหนัง
อาจพบอาการแพ้บริเวณผิวหนังจากการสัมผัสน้ำลายหมัด หรือมูลหมัด โดยเฉพาะบริเวณข้อมือที่สัมผัสกับสัตว์ มักพบอาการคัน ตุ่มแดง โดยอาจเกิดขึ้นทันทีหรือ 2-4 วันหลังจากถูกกัด แต่ยังไม่เคยมีรายงานการแพ้รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต - โรคแมวข่วน (Cat Scratch Fever, Cat Scratch Disease)
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bartonella henselae ซึ่งติดสู่คนเมื่อถูกแมวกัดหรือข่วน ส่วนแมวที่ติดเชื้อจากหมัดมักไม่แสดงอาการ แต่เป็นตัวแพร่เชื้อสู่คน คาดว่าประมาณ 40% ของเจ้าเหมียวเคยติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้มาแล้วในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต โรคนี้ไม่พบการติดต่อจากคนสู่คน แต่หมัดแมวเป็นพาหะนำเชื้อจากแมวตัวหนึ่งไปสู่อีกตัวหนึ่งได้
คนที่ติดเชื้อมักแสดงอาการหลังถูกแมวที่มีเชื้อกัด ข่วน หรือเลีย ภายใน 3-10 วัน โดยพบลักษณะเป็นผื่นแดง ตุ่มหนอง แผลหลุม ต่อมน้ำเหลืองโต อาจหายได้ใน 4-8 สัปดาห์ แต่รายที่ร่างกายอ่อนแอ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด มีไข้ เกิดการติดเชื้อที่ตา ระบบประสาท พบตุ่มนูนที่ผิวหนัง อาจพบการติดเชื้อแทรกซ้อนที่ตับ และหัวใจ ได้ 5-16% ของคนที่ติดเชื้อ ดังนั้นหากถูกข่วน หรือกัด ให้รีบล้างบาดแผลโดยการฟอกสบู่ทันที หรือหากมีแผลอย่าให้แมวเลีย
วิธีกำจัดหมัดแมว
หมัด มีทั้งระยะที่อยู่บนตัวแมวและอยู่ในสิ่งแวดล้อม ดังนั้นหากจะกำจัดให้ได้ผล จะต้องทำการกำจัดอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 8 สัปดาห์ ทั้งบนตัวเจ้าเหมียวและในบริเวณที่น้องเหมียวอยู่ และยังต้องป้องกันไม่ให้ไปรับหมัดเข้ามาใหม่ด้วย
การกำจัดในสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การทำความสะอาดสิ่งปูรอง เอาที่นอนน้องเหมียวไปซักด้วยน้ำร้อนจัด ใช้เครื่องดูดฝุ่น (หลังจากดูดฝุ่นเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมทิ้งถุงขยะในเครื่องดูดฝุ่นด้วย)
ส่วนการกำจัดหมัดบนตัวน้องเหมียว แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มยาหยดหลัง (Spot-on) เพราะสามารถทำได้ง่าย มีฤทธิ์ทำลายไข่หมัดและตัวเต็มวัย อย่างต่อเนื่อง 1 เดือน หรือ 3 เดือน แล้วแต่ผลิตภัณฑ์ สำหรับการอาบน้ำแม้จะช่วยกำจัดหมัดบนตัวได้ แต่ไม่มีฤทธิ์ต่อเนื่องหลังจากนั้น อีกทั้งยังทำได้ยาก เพราะน้องแมวส่วนมากไม่ชอบอาบน้ำ (ยกเว้นเจ้าเหมียวที่ถูกฝึกให้อาบน้ำแต่เด็ก)