ตำรับยาสมุนไพรในคัมภีร์ มักปรากฏการใช้รากหรือหัวใต้ดิน สรรพคุณของว่านชักมดลูกเกี่ยวกับอาการของสตรี เช่น อาการเกี่ยวกับประจำเดือน ตกขาว หรือใช้ในการอยู่ไฟสำหรับสตรีหลังคลอด มีทั้งในรูปแบบยารับประทาน และยาใช้ภายนอก โดยที่นิยมใช้ทางยาเป็นหลักนั้นคือว่านชักมดลูกตัวเมีย
ชนิดของว่านชักมดลูก
ว่านชักมดลูกที่อยู่ในท้องตลาดของไทยมีทั้งหมด 2 สายพันธุ์ แบ่งเป็น 3 ชนิด ได้แก่
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ว่านชักมดลูกตัวเมีย Curcuma comosa Roxb.
- ว่านชักมดลูกตัวผู้ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ Curcuma elata Roxb. และ Curcuma latifolia Rosc.
แม้ว่าจะเป็นว่านชักมดลูกเหมือนกัน แต่สรรพคุณของแต่ละสายพันธุ์นั้นแตกต่าง ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรเลือกใช้ให้ถูกชนิด เพื่อความปลอดภัยและเพื่อการรักษาโรคอย่างถูกต้อง ความแตกต่างระหว่างว่านชักมดลูกตัวเมียกับว่านชักมดลูกตัวผู้ที่เห็นได้ชัดเจนมีดังนี้
- ลักษณะลำต้นใต้ดินหรือหัวใต้ดิน ว่านชักมดลูกตัวเมีย จะมีลักษณะหัวค่อนข้างรี คล้ายรูปไข่ แขนงย่อยน้อย มีกลิ่นอ่อนคล้ายมะม่วงมัน แต่ว่านชักมดลูกตัวผู้จะมีลักษณะหัวค่อนข่างกลม มีแขนงจำนวนมาก และมีกลิ่นฉุน
- หลังใบของว่านชักมดลูกตัวผู้จะมีขนอ่อน เส้นกลางใบสีน้ำตาลแดง ส่วนตัวเมียใบจะเรียบและมีเส้นกลางใบสีเขียว
สรรพคุณของว่านชักมดลูก
- เป็นยาบีบมดลูก ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วหลังการคลอดบุตร
- ทำให้ประจำเดือนมาปกติ แก้อาการปวดท้องระหว่างมีประจำเดือน
- ขับเลือด ขับลม ขับน้ำคาวปลา บำรุงร่างกายของสตรี หรือใช้เป็นยาแทนการอยู่ไฟ
ทั้งสามสรรพคุณผู้บริโภคสามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการรักษาที่ถูกวิธี โดยปัจจุบันการใช้ยาว่านชักมดลูกมีทั้งรูปแบบยาน้ำและยาแคปซูล เพื่อความสะดวกในการรับประทานมากขึ้น ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า การใช้ยาว่านชักมดลูกทั้ง 2 รูปแบบ ไม่นิยมใช้เป็นสมุนไพรเดี่ยว แต่ใช้เป็นยาตำรับ หมายถึงมีสมุนไพรชนิดอื่นผสมอยู่ด้วย เช่น โกศเชียง โกศจุฬาลัมพา โกศหัวบัว ว่านมหาเมฆ แก่นขี้เหล็ก ขมิ้นอ้อย ไพล คำฝอย ฝาง รากสามสิบ เป็นต้น ซึ่งสมุนไพรดังกล่าวมีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกายทำให้อาการต่างๆ ของสตรีดีขึ้นเช่นเดียวกัน
งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสรรพคุณของว่านชักมดลูก
จากการศึกษาข้อมูลของว่านชักมดลูกตัวเมีย พบว่ามีสรรพคุณฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen like activity) เรียกสารชนิดนี้ว่า กลุ่มไฟโตเอสโตรเจน สารนี้สามารถใช้ทดแทนเอสโตรเจนได้ แต่มีระดับการออกฤทธิ์ที่ต่ำกว่า พบได้ในถั่วเหลือง น้ำมะพร้าว และกวาวเครือขาว เป็นต้น ช่วยกระตุ้นการเจริญของอวัยวะสืบพันธุ์ ช่วยเพิ่มน้ำหนัก กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกชั้นต่างๆ หนาขึ้น กระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อบุช่องคลอด และมีส่วนช่วยในการตั้งครรภ์
จากงานวิจัยการนำสารไฟโตเอสโตรเจนมาใช้ทางคลินิก ที่ทำการทดลองทั้งในห้องปฏิบัติการ (in vitro) และในสัตว์ทดลอง (in vivo) พบว่า สารไฟโตเอสโตรเจนช่วยส่งเสริมการเจริญของกระดูก ป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก ทำให้ความหนาแน่นมวลกระดูกสูงขึ้น และกระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูก เป็นประโยชน์ต่อสตรีที่กำลังหมดประจำเดือน ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ เหงื่ออกกลางคืน (Vasomotor symptom) ได้ ทั้งนี้ไฟโตเอสโตรเจนจะมีผลระยะสั้นช่วยป้องกันการเสียมวลกระดูกในหญิงหมดประจำเดือน ส่วนผลระยะยาวยังไม่พบข้อมูลที่แน่ชัด และยังไม่พบผลดีที่ชัดเจนในหญิงวัยรุ่นก่อนวัยหมดประจำเดือน สอดคล้องกับข้อมูลจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งพบว่าการกินสารสกัดจากสมุนไพรชนิดนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 5 สัปดาห์ในหนูทดลองที่ถูกตัดรังไข่ พบว่าสามารถป้องกันการสูญเสียแคลเซียม และช่วยรักษาระดับความหนาแน่นของมวลกระดูกได้
นอกจากนี้ จากการทดลองในหนูที่ตัดรังไข่เลียนแบบสตรีวัยทองพบว่า สารสกัดจากว่านชักมดลูกช่วยต้านออกซิเดชันที่เกิดขึ้นที่ผนังหลอดเลือดแดง ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดการเกิดคราบจุลินทรีย์ (Plaque) ในหลอดเลือด ช่วยป้องกันเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจขาดความยืดหยุ่น และป้องกันการเกิดหลอดเลือดแดงแข็งตัวจากภาวะไขมันในเส้นเลือดสูง ลดระดับคอเรสเตอร์รอล ไตรกลีเซอร์ไรด์ และไขมันชนิดร้าย ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดีได้อีกด้วย
ทั้งนี้การตัดสินใจใช้ยาสมุนไพรชนิดนี้เพื่อการรักษา ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อการรักษาที่ถูกวิธี
ข้อควรระวังในการใช้ว่านชักมดลูก
- การรับประทานสมุนไพรที่มีสารไฟโตเอสโตรเจนปริมาณมาก มีความเสี่ยงต่อการกระตุ้นก้อนเนื้อ ถุงน้ำ หรือซีสต์ในผู้หญิง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับปริมาณเอสโตรเจน และฮอร์โมนเอสโตรเจน สามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและมะเร็งเต้านมได้
- ห้ามใช้ในผู้ที่สงสัยว่าอาจจะเป็นหรือเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก หรือมีภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
- ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ หญิงให้นมบุตร และเด็กเล็ก ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือรับประทานเกินขนาดที่ระบุไว้เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง ผู้ป่วยที่มีปัญหาท่อน้ำดี อุดตันไม่ควรใช้เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำดี และอาจทำให้เกิดอาการเสียดท้องในผู้ป่วยที่ เป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้
- ควรระวังการใช้ในเพศชาย เนื่องจากมีงานวิจัยระบุว่าว่านชักมดลูกอาจทำให้เป็นหมัน และห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้ในวัยเจริญพันธุ์หรือช่วงวัยรุ่น เนื่องจากอาจทำให้ร่างกายพัฒนาระบบสืบพันธุ์ได้ไม่เต็มที่