การตั้งครรภ์กับโรคลมชัก-ภาพรวม
ผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคลมชักสามารถมีบุตรได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะยากันชักหลายรายการมีผลทำให้เกิดความผิดปกติของทารกได้ หากคุณเป็นโรคลมชักและบังเอิญตั้งครรภ์ขึ้นมา แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทันที เนื่องจากอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนยาที่ใช้เพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์
ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคลมชักสามารถมีลูกที่มีสุขภาพแข็งแรงได้ตามปกติ แต่อย่างไรก็ตามโรคลมชักในมารดาจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของทารก การตายของทารกในครรภ์ และพบปัญหาที่สัมพันธ์กับอาการชักสูงกว่าปกติในเด็กที่เกิดจากมารดาที่เป็นโรคลมชัก ยากันชักโดยส่วนใหญ่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดความปกติของทารก
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ถ้าคุณเป็นโรคลมชักและมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น การหยุดยากันชักไม่ใช่วิธีที่ดีในการแก้ปัญหา เพราะหากไม่รักษาแล้วปล่อยให้มารดาเกิดอาการชักระหว่างตั้งครรภ์จะส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้ และการตั้งครรภ์จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นภายในร่างกายมารดาอาจทำให้เพิ่มความถี่ของการชักด้วย
ข้อมูลด้านล่างต่อจากนี้เป็นข้อมูลที่อ้างอิงมาจากแนวทางการรักษาโรคของ American Academy of Neurology ประเทศสหรัฐอเมริกา
ก่อนการตั้งครรภ์
ก่อนการตั้งครรภ์ ให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรักษาโรคลมชักของคุณ ยากันชักอาจส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์โดยเฉพาะช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ก่อนที่คุณจะรู้ตัวว่ากำลังตั้งครรภ์ด้วยซ้ำ แพทย์จะพิจารณาว่าคุณยังมีโอกาสที่จะเกิดอาการชักหรือไม่ หรือการใช้ยากันชักต่อไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์มากน้อยเพียงใด เพื่อพิจารณาเลือกแนวทางการรักษาโรคลมชักให้เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
โดยทั่วไปแล้ว จะแนะนำให้ใช้ยากันชักเพียง 1 รายการ และให้ใช้ขนาดยาน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากยานี้ โดยยาอาจไม่ส่งผลเสียต่อทารกมากเท่ากับการปล่อยให้มารดามีอาการชักเกิดขึ้น
ถ้าคุณยังไม่ได้ตั้งครรภ์ในขณะนี้ แต่วางแผนที่จะตั้งครรภ์ การพิจารณาหยุดยาอาจเป็นทางเลือกหนึ่งหากคุณไม่มีอาการชักติดต่อกันหลายปีแล้ว โดยแพทย์อาจแนะนำให้ทดลองหยุดยากันชักก่อนที่จะตั้งครรภ์ โดยการทดลองนี้จะใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือนก่อนการตั้งครรภ์ โดยทั้งคุณและแพทย์จะสังเกตเห็นได้ว่าผลของการหยุดยาเป็นอย่างไร สามารถควบคุมอาการชักได้หรือไม่ แต่ถ้าระหว่างหยุดยาไปแล้วมีอาการชักเกิดขึ้น คุณอาจจำเป็นต้องกลับมารับประทานยากันชักอีกครั้ง
ขณะกำลังตั้งครรภ์
ถ้าคุณยังจำเป็นต้องรับประทานยากันชักระหว่างการตั้งครรภ์อยู่ แพทย์อาจแนะนำให้ปรับเปลี่ยนการรักษาบางอย่างเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดความปกติของทารกในครรภ์ โดยสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลง เช่น:
- เปลี่ยนไปใช้ยาอื่นที่มีความปลอดภัยกับทารกมากกว่า
- รับประทานยาเพียง 1 ชนิด
- ปรับเปลี่ยนขนาดยาที่ได้รับ
- เจาะเลือดไปตรวจวัดระดับยากันชักในเลือดว่ามีระดับที่เหมาะสมแล้วหรือยัง
- รับประทานกรดโฟลิก (folic acid) และสารอาหารเสริมอื่นๆ ก่อนการตั้งครรภ์และระหว่างการตั้งครรภ์ (กรดโฟลิกจะลดความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติในทารกบางอย่างได้)
คุณอาจทำให้ตัวคุณและทารกในครรภ์มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นได้ หากคุณปรับเปลี่ยนยา ลดขนาดยา หรือหยุดยาเองขณะตั้งครรภ์โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ ดังนั้นแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
ข้อกังวลอื่นๆ
- ระหว่างการตั้งครรภ์ คุณอาจจำเป็นต้องตรวจติดตามกับแพทย์บ่อยครั้งมากขึ้น เพื่อติดตามสภาวะของทารกและตรวจเลือดเพื่อดูระดับยากันชักในเลือด
- ภายหลังจากที่เด็กคลอดออกมาแล้ว เด็กทารกรายนั้นอาจจำเป็นต้องได้รับวิตามินเคเสริมเป็นระยะเวลาสั้นๆ (ยากันชักบางรายการทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับเลือดในเด็กแรกเกิด ทำให้เลือดไม่สามารถแข็งตัวได้ตามปกติ การให้วิตามินเคเสริมจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้) แพทย์อาจแนะนำให้คุณรับประทานวิตามินเคระหว่างการตั้งครรภ์ด้วย
- สำหรับการให้นมบุตรขณะใช้ยากันชักอยู่ โดยทั่วไปพบว่ามีความปลอดภัย แต่ให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับข้อกังวลที่คุณมีก่อนเสมอ ถ้าคุณรับประทานยากลุ่มบาร์บิทูเรต (barbiturate) เช่น ฟีโนบาร์บิทอล (phenobarbital) เพื่อควบคุมอาการชัก การให้นมบุตรอาจทำให้ทารกมีอาการง่วงซึม หรือหงุดหงิดได้ เพราะยานี้อาจเข้าสู่น้ำนมแม่ได้
ถ้าคุณเป็นโรคลมชักและพบว่ากำลังตั้งครรภ์ ต้องปรึกษาแพทย์ทันที และอย่าหยุดยากันชักเองก่อนที่จะได้รับคำปรึกษาจากแพทย์
https://www.webmd.com/baby/tc/pregnancy-and-epilepsy-topic-overview#1