การผ่าตัดลำไส้ออก หรือโคลอสโตมี เป็นกระบวนการผ่าตัดเพื่อนำส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ออกมาด้วยการเปิดผนังช่องท้องส่วนปลายของลำไส้ที่เรียกว่าสโตมา ซึ่งจะมีการใช้ถุงรองของเสียที่จะถูกขับออกมาจากลำไส้ดังกล่าวแทนที่จะออกไปทางทวารหนัก
โคลอสโตมี มีทั้งแบบถาวรและแบบชั่วคราว คาดกันว่าหัตการผ่าตัดลำไส้ออกแบบถาวรเกิดขึ้นประมาณ 6,400 ครั้งในแต่ละปี (ข้อมูลจากประเทศอังกฤษ)
เหตุใดกระบวนการผ่าตัดลำไส้ออกจึงจำเป็น?
การผ่าตัดโคลอสโตมีถูกใช้เมื่อผู้ป่วยมีปัญหาที่ระบบลำไส้ใหญ่ โดยกระบวนการนี้มีเพียงเบี่ยงระบบขับถ่ายของเสียออกจากบริเวณที่เกิดปัญหาขึ้นเพื่อทำให้พื้นที่ดังกล่าวรักษาตัวเอง
ในบางกรณี โคลอสโตมีจะเกิดขึ้นหลังจากที่แพทย์ผ่าตัดนำระบบลำไส้ออกมาจนทำให้ระบบขับถ่ายไม่สามารถทำงานได้ตามปรกติ ซึ่งอาจเป็นเพียงเวลาชั่วคราวเท่านั้นหรือจนกว่าแพทย์จะทำรักษาผ่าตัดต่อไป หรือบางกรณีก็อาจเป็นเช่นนี้ถาวรเลยก็ได้
โคลอสโตมีถูกใช้เพื่อรักษาภาวะโรคเหล่านี้:
- มะเร็งลำไส้ใหญ่
- โรคโครห์น
- โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ
- มะเร็งทวารหนัก: บางกรณี (หายาก) เพื่อการรักษามะเร็งทวารหนักแล้ว ต้องมีการผ่าตัดโคลอสโตมีเกิดขึ้น หากการรักษารูปแบบอื่นอย่างการบำบัดเคมีหรือการบำบัดด้วยรังสีไม่ได้ผล
- มะเร็งช่องคลอด: .บางกรณีจะมีการผ่าตัดใหญ่ที่เรียกว่าการผ่าตัดอวัยวะในอุ้งเชิงกรานแบบกว้าง ซึ่งเป็นการรักษามะเร็งชนิดที่กินเข้าไปในเชิงกราน การผ่าตัดโคลอสโตมีแบบถาวรจะเป็นส่วนหนึ่งของการผ่าตัดรักษามะเร็งชนิดนี้
- ภาวะกลั้นอุจจาระไม่ได้: การผ่าตัดลำไส้ออกเป็นวิธีสุดท้ายหากการรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัดก่อน ๆ ไม่ได้ผล
- การบาดเจ็บ: หากส่วนใดส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ถูกตัดออกจากการบาดเจ็บอย่างการถูกแทงหรือถูกยิง อาจต้องมีการผ่าตัดลำไส้ออกเกิดขึ้นชั่วคราวหรือแบบถาวรตามกรณี
- โรคลำไส้โป่งพอง: เป็นโรคที่หายาก ซึ่งเป็นภาวะที่ลำไส้ไม่อาจทำงานได้เหมือนปรกติเนื่องจากขาดเซลล์ประสาทที่จำเป็นไป บางครั้งอาจต้องมีการผ่าตัดเพื่อป้องกันไม่ให้ลำไส้อุดตันขึ้น ซึ่งระหว่างหัตถการอาจต้องมีการถอนส่วนของลำไส้ดังกล่าวออก โดยจะมีการทำทางเบี่ยงหรือโคลอสโตมีเพื่อขจัดของเสียออกจากร่างกายแทน รูปแบบของโคลอสโตมีที่ทำขึ้นอยู่กับขนาดของลำไส้ที่นำออกไป
ประเภทของโคลอสโตมี
การผ่าตัดโคลอสโตมีมีอยู่สองวิธีคือ:
- ลูปโคลอสโตมี: ที่ซึ่งส่วนของลำไส้จะถูกดึงออกผ่านรูบนหน้าท้องก่อนที่จะถูกเปิดทิ้งไว้และถูกเย็บติดเข้ากับผิวหนัง
- โคลอสโตมีส่วนปลาย: เป็นการดึงส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ออกมาผ่านรูบนหน้าท้อง และถูกเย็บติดเข้ากับผิวหนัง
ลูปโคลอสโตมีมักจะเป็นโคลอสโตมีแบบชั่วคราว ซึ่งทำเพื่อรอการผ่าตัดแก้ไขในภายภาคหน้า สำหรับการโคลอสโตมีส่วนปลายนั้นก็สามารถนำกลับเข้าไปได้เช่นกัน แต่จะไม่ค่อยพบเห็นกันเท่าไรนัก คุณอาจต้องค้างอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 3-10 วันหลังจากการทำโคลอสโตมีหรือหลังจากการทำโคลอสโตมีแบบกลับ
มีกระบวนการที่คล้ายกันนี้ที่ชื่อไอลีออสโตมีซึ่งสามารถใช้แทนกระบวนการโคลอสโตมีได้ โดยกรรมวิธีดังกล่าวเป็นการต่อช่องสโตมาออกจากลำไส้เล็กแทนลำไส้ใหญ่
การใช้ชีวิตกับโคลอสโตมี
ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับหัตถการโคลอสโตมีมักจะกังวลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันและสายตาคนรอบข้าง (คุณต้องพกถุงโคลอสโตมีไปมาตลอดเวลา)
อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าของอุปกรณ์และเทคนิคโคลอสโตมีในปัจจุบัน ทำให้ปัญหาดังกล่าวมีความรัดกุมและรอบคอบกว่าเดิมจนแทบไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อกิจกรรมอื่น ๆ เลย
การปรับชีวิตให้เข้ากับการรักษาโคลอสโตมีอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ผู้คนส่วนมากจะคุ้นชินไปเองตามกาลเวลา
โคลอสโตมีดำเนินการอย่างไร?
โคลอสโตมีสามารถดำเนินการได้หลายวิธี โดยเทคนิคที่ใช้กับตัวคุณจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของคุณเอง
เทคนิคผ่าตัดหลัก ๆ มีอยู่ 2 ประการ คือ:
- การผ่าตัดเปิดหน้าท้อง: ที่ซึ่งศัลยแพทย์จะกรีดเปิดช่องท้องของคุณให้ลึกไปถึงสำไส้ใหญ่
- การผ่าตัดส่องกล้องในอุ้งเชิงกราน: ที่ซึ่งศัลยแพทย์จะกรีดช่องขนาดเล็กกว่าแบบแรกหลาย ๆ ช่อง และใช้กล้องวิดีโอขนาดจิ๋วกับอุปกรณ์ผ่าตัดชนิดพิเศษสอดลงไปยังลำไส้ใหญ่
การผ่าตัดส่องกล้องเป็นที่นิยมดำเนินการกันมากกว่าเนื่องมาจากผู้ป่วยจะฟื้นตัวเร็วกว่าและมีภาวะข้างเคียงน้อยกว่าแบบแรก
อย่างไรก็ตาม หากเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ระบบขับถ่าย การผ่าตัดแบบส่องกล้องเชิงกรานอาจไม่สามารถทำได้เนื่องจากขาดความพร้อมของบุคคลากรและอุปกรณ์ จึงต้องมีการผ่าตัดเปิดช่องท้องแทนในกรณีเช่นนั้น
กระบวนการโคลอสโตมีทุกรูปแบบต้องดำเนินการด้วยการใช้ยาสลบกับคนไข้
ประเภทของโคลอสโตมี
การผ่าตัดโคลอสโตมีมีอยู่สองวิธีคือ:
- ลูปโคลอสโตมี
- โคลอสโตมีส่วนปลาย
ลูปโคลอสโตมี
จะมีการดึงส่วนของลำไส้ใหญ่ออกจากรอยกรีดที่หน้าท้องของคุณ โดยส่วนของลำไส้ที่ดึงออกมาจะถูกเย็บติดกับผิวเพื่อเปิดช่องที่เรียกว่าสโตมา โดยช่องสโตมาจะมีอยู่สองทางซึ่งจะอยู่ติดกันจนไม่สามารถมองเห็นได้สองช่องพร้อมกัน
ช่องเปิดหนึ่งจะเชื่อมกับระบบขับถ่ายส่วนปฏิบัติการณ์ที่ซึ่งของเสียจะไหลออกจากร่างกายของคุณหลังจากการผ่าตัด ช่องเปิดอีกช่องจะเชื่อมไปยังส่วนลำไส้ที่ไม่เคลื่อนไหวที่นำไปสู่ไส้ตรงหรือเรกตัม ซึ่งช่องดังกล่าวจะปล่อยมูกปริมาณน้อยนิดออกมาเท่านั้น
ตำแหน่งของสโตมาจะขึ้นอยู่กับส่วนของลำไส้ที่ดึงออกมา โดยส่วนมากมักจะเป็นส่วนทางซ้ายมือของหน้าท้องใต้สายเข็มขัดของคุณ หากการผ่าตัดถูกวางแผนไว้ก่อนหน้า คุณจะได้เข้าพบผู้เชี่ยวชาญด้านสโตมาก่อนเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรับทราบตำแหน่งที่จะทำการสร้างสโตมาบนหน้าท้องของคุณ ซึ่งหากเป็นกรณีที่ต้องผ่าตัดลำไส้ฉุกเฉิน คุณจะไม่สามารถพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ก่อน
สโตมาจะมีขนาดใหญ่ในตอนแรกเนื่องจากอาการบวมหลังการผ่าตัด ซึ่งมักจะค่อย ๆ หดลงภายในไม่กี่สัปดาห์หลังการผ่าตัด และจนหดจนถึงขนาดสุดท้ายประมาณ 8 สัปดาห์ สโตมาจะมีสีแดง ดูชุ่มชื้น และไม่มีเส้นประสาทใด ๆ ทำให้คุณไม่รู้สึกเจ็บหากสัมผัสโดนลำไส้ แต่กระนั้น การสัมผัสมันมากเกินก็อาจทำให้เลือดออกบ้างเล็กน้อย ซึ่งเป็นภาวะปรกติที่ไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด
ในบางกรณี อาจมีการใช้อุปกรณ์รองรับส่วนของลำไส้ให้อยู่กับที่ในขณะที่อยู่ในช่วงรักษาตัว ซึ่งมักจะนำอุปกรณ์ดังกล่าวออกหลังจากนั้นไม่กี่วัน
ลูปโคลอสโตมีมักจะดำเนินการแบบชั่วคราวเสียส่วนมาก ซึ่งใช้เพื่อการรักษาโรคโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ โรคโครห์น และมะเร็งลำไส้ใหญ่
โคลอสโตมีปลาย
ส่วนปลายของลำไส้ใหญ่จะถูกดึงผ่านช่องกรีดบนหน้าท้องของคุณและถูกเย็บติดเข้ากับผิวหนังเพื่อสร้างช่องสโตมาขึ้นมา
เช่นเดียวกับกระบวนการลูปโคลอสโตมี ตำแหน่งของสโตมาจะขึ้นอยู่กับส่วนของลำไส้ใหญ่ที่นำออกมา ซึ่งมักจะเป็นส่วนทางซ้ายมือของหน้าท้องใต้เข็มขัดของคุณ
หากการผ่าตัดถูกวางแผนไว้ก่อนหน้า คุณจะได้เข้าพบผู้เชี่ยวชาญด้านสโตมาก่อนเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรับทราบตำแหน่งที่จะทำการสร้างสโตมาบนหน้าท้องของคุณ ซึ่งหากเป็นกรณีที่ต้องผ่าตัดลำไส้ฉุกเฉิน คุณจะไม่สามารถพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ก่อน
สโตมาจะมีช่องเปิดเพียงจุดเดียวซึ่งมีไว้เพื่อขับของเสียออกมา ส่วนท้ายของลำไส้ใหญ่ที่เชื่อมไปยังไส้ตรงจะถูกปิดทิ้งเอาไว้ในช่องท้องของคุณ
การผ่าตัดโคลอสโตมีส่วนปลายนี้มักเป็นกระบวนการถาวร แต่ก็สามารถปรับให้เป็นแบบชั่วคราวเพื่อการรักษาภาวะลำไส้อุดตัน เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่ลำไส้ใหญ่ หรือเพื่อรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ก็ได้
หัตถการอื่น ๆ นอกจากโคลอสโตมี
ในบางกรณี แพทย์อาจสามารถใช้วิธีการที่คล้ายกันนี้ที่เรียกว่าไอลีโอโอสโตมี ซึ่งเป็นการสร้างทางเบี่ยงที่ลำไส้เล็กแทนลำไส้ใหญ่
ไอลีโอโอสโตมีอาจนิยมดำเนินการมากกว่าโคลอสโตมีเนื่องจากกระบวนการนี้สามารถใส่ถุงเก็บของเสียไว้ภายในได้ ซึ่งถุงดังกล่าวเชื่อมต่อกับทวารหนักของคุณทำให้คุณสามารถควบคุมกิจกรรมขับถ่ายได้คล้ายกับสภาวะปกติ
การพักฟื้น
หลังการทำโคลอสโตมี คุณต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลาไม่กี่วัน
เมื่อคุณตื่นขึ้นหลังการผ่าตัด คุณจะถูกติดเข้ากับอุปกรณ์มากมายเช่น:
- ตัวหยดยาเข้าเส้นเลือด
- ท่อสวนกระเพาะปัสสาวะเพื่อดูดปัสสาวะออก
- หน้ากากออกซิเจน หรือท่อยางคู่เข้าจมูก เพื่อช่วยการหายใจของคุณ
อุปกรณ์เหล่านี้จะถูกถอดออกเมื่อร่างกายของคุณฟื้นตัวจากการผ่าตัดแล้วเท่านั้น
แพทย์จะใช้ถุงโคลอสโตมีใสกับช่องสโตมาที่ติดอยู่บนหน้าท้องของคุณ เพื่อให้ง่ายต่อการสอดส่องและเปลี่ยน โดยถุงแรกที่ใช้จะมีขนาดใหญ่กว่าถุงโคลอสโตมีที่ใช้ตามปรกติ ซึ่งแพทย์จะเปลี่ยนเป็นถุงขนาดเล็กลงเมื่อคุณพร้อมกลับบ้านแล้ว
พยาบาลสโตมา
ระหว่างที่คุณพักฟื้นที่โรงพยาบาล พยาบาลสโตมาจะสอนวิธีดูแลสโตมาและการเปลี่ยนถุงของเสียแก่คุณ อีกทั้งคุณจะได้เรียนรู้วิธีทำความสะอาดสโตมาและผิวหนังโดยรอบเพื่อป้องกันการระคายเคือง และคำแนะนำต่าง ๆ ที่ช่วยในกรณีที่เกิดการติดเชื้อขึ้น พยาบาลจะเป็นผู้อธิบายอุปกรณ์ประเภทต่าง ๆ ที่คุณต้องใช้และวิธีหาอุปกรณ์เหล่านั้น
การกลับบ้าน
ผู้คนส่วนมากที่เข้ารับการรักษาโคลอสโตมีมักจะสามารถกลับบ้านได้ภายใน 3-10 วันหลังการผ่าตัด
ควรพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมากที่บ้าน อย่างการยกของหนัก เพื่อไม่ให้ช่วงท้องของคุณต้องรับภาระหนักเกินไป หากมีข้อสงสัย ทางพยาบาลสโตมาก็สามารถให้คำแนะนำเรื่องการทำกิจกรรมของคุณได้
ในช่วงเวลาสัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด คุณอาจมีอาการท้องอืดและไม่สามารถควบคุมการขับของเสียออกจากสโตมาได้ ซึ่งควรจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามการฟื้นตัวของลำไส้ใหญ่ของคุณ
ภาวะข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ควรทำความเข้าใจและตระหนักถึงปัญหาต่าง ๆ ที่คุณอาจประสบหลังจากรับการผ่าตัดโคลอสโตมีดังนี้:
ของเสียจากทวาร
- ผู้ที่เข้ารับการรักษาโคลอสโตมีแต่มีไส้ตรงและทวารหนักที่ยังปกติดีอยู่มักจะมีของเสียเป็นมูกออกจากทวารหนักบ่อยครั้ง มูกดังกล่าวเกิดจากเยื่อบุลำไส้ที่ช่วยในเรื่องการไหลตัวของอุจจาระ
- ผนังลำไส้ใหญ่จะยังคงผลิตมูกดังกล่าวออกมาแม้จะไม่มีเหตุต้องใช้อีกแล้วก็ตาม และยิ่งส่วนลำไส้ที่เหลือในช่องท้องของคุณมียาวเท่าไร ก็ยิ่งมีมูกขับออกมาบ่อยเท่านั้น
- มูกที่ขับออกมาจะลักษณะแตกต่างกันออกไป บางครั้งอาจจะมีสีใสคล้ายไข่ขาว หรือมีความเหนียวหนืดคล้ายกาว แต่หากมีเลือดหรือหนองขับออกมาพร้อมกับมูก คุณต้องติดต่อไปยังแพทย์ผู้ดูแลทันทีเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณการติดเชื้อหรือการเสียหายที่เนื้อเยื่อก็เป็นได้
การจัดการกับของเสีย
มูกที่ไหลออกมาจากไส้ตรงและทวารหนักอาจสร้างความรำคาญและทำให้รู้สึกไม่สบายตัวได้
ลักษณะของมูกดังกล่าวจะแตกต่างกันไปตามบุคคล บางคนอาจมีของเสียไหลออกมาหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ แต่สำหรับอีกหลายคนอาจมีอาการดังกล่าวหลายครั้งต่อวัน
วิธีที่คนส่วนใหญ่สามารถจัดการกับของเสียจากไส้ตรงคือการนั่งบนชักโครกและทำการถ่ายให้เหมือนกำลังถ่ายอุจจาระอยู่ การเบ่งนี้จะช่วยผลักมูกที่ตกค้างภายในไส้ตรงออกมา
บางคนอาจไม่สามารถทำกิจดังกล่าวได้เนื่องจากการผ่าตัดได้ไปลดความรู้สึกที่ลำไส้ตรงไป หากเป็นเช่นนี้ ให้คุณติดต่อแพทย์ผู้ดูแลเพื่อทำการรักษาเพิ่มเติม
การใช้ยาเหน็บทวารกลีเซอรีนที่ใช้สอดเข้าไปในทวารหนักก็สามารถช่วยปัญหานี้ได้ เพราะเมื่อแคปซูลตัวยาละลาย จะทำให้มูกมีความเหลวขึ้นทำให้ง่ายต่อการไหลออกมา
ในบางกรณี มูกที่ออกมาจะไปทำให้ผิวหนังรอบทวารหนักระคายเคือง ซึ่งการใช้ครีมทาป้องกันผิวก็สามารถช่วยได้ โดยคุณสามารถเลือกใช้ประเภทยาจากคำแนะนำของเภสัชกรหรือลองผิดลองถูกดูหลาย ๆ ตัวก็ได้
บางคนพบว่าการทานอาหารบางประเภทจะส่งผลทำให้มูกออกมามากขึ้น แม้จะไม่มีหลักฐานที่ยืนยันรายงานฉบับนี้ แต่คุณก็สามารถลองทำดูก็ได้ โดยต้องลองรับประทานอาหารดังกล่าวเป็นเวลาไม่กี่สัปดาห์ก่อนจะเห็นผล
ไส้เลื่อนพาราสโตมาล
ไส้เลื่อนเกิดขึ้นเมื่ออวัยวะภายในของร่างกายถูกดันออกไปสู่กล้ามเนื้อหรือเนื้อเยื่อโดยรอบที่ไม่แข็งแรง
ในกรณีของไส้เลื่อนพาราสโตมาลนั้น ลำไส้จะดันตัวออกไปยังกล้ามเนื้อรอบสโตมาจนทำให้ผิวหนังเกิดการเป่งออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผู้ที่ผ่านการรักษาโคลอสโตมีมาจะมีความเสี่ยงเป็นไส้เลื่อนประเภทนี้เพิ่มขึ้น เนื่องมาจากกล้ามเนื้อที่ช่วงท้องอ่อนแอลงจากการผ่าตัด
วิธีป้องกันการเกิดไส้เลื่อนพาราสโตมาล มีดังนี้:
- สวมใส่เข็มขัดรองรับหรือกางเกงใน
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักเกินไป
- พยายามคงน้ำหนักร่างกายไว้ เนื่องจากน้ำหนักกายที่มากเกินจะทำให้กล้ามเนื้อช่วงท้องต้องแบกรับภาวะเยอะกว่าเดิม
อาการของไส้เลื่อนประเภทนี้มักไม่สร้างความเจ็บปวด แต่อาจทำให้อุปกรณ์ที่ต้องใช้ร่วมกับการรักษาโคลอสโตมีติดอยู่กับตัวยากขึ้น
ไส้เลื่อนส่วนมากมากรักษาได้โดยไม่ใช้วิธีผ่าตัด กระนั้น ไส้เลื่อนบางกรณีก็อาจต้องแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดเท่านั้น และหลังจากผ่าตัดไป ก็ยังมีโอกาสที่ไส้เลื่อนจะกลับมาได้อยู่อีก
สโตมาอุดตัน
สโตมาบางคนอาจเกิดการอุดตันจากของเสียหรืออาหารได้ โดยสัญญาณของการอุดตันมีดังนี้:
- มีการถ่ายเหลวหรือถ่ายออกมาไม่มาก
- ช่วงท้องเกิดการป่องออก
- ปวดท้อง
- สโตมาบวม
- คลื่นไส้หรืออาเจียน
- หากคุณคาดว่าสโตมาของคุณเกิดการอุดตัน คุณควรจะ:
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแข็งระยะเวลาหนึ่ง
- ดื่มน้ำให้เยอะ ๆ
- นวดหน้าท้องและบริเวณรอบ ๆ สโตมาของคุณ
- นอนหงาย กอดเข่าขึ้นมาที่หน้าอก และกลิ้งไปมาด้านข้างเป็นเวลาไม่กี่นาที
- แช่ร้อนเป็นเวลา 15 ถึง 20 นาที (เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน้าท้องของคุณ)
หากปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ให้ติดต่อแพทย์ผู้ดูแลในทันทีเนื่องจากอาจมีความเสี่ยงที่ลำไส้ใหญ่ของคุณเกิดการฉีกขาดขึ้น
คุณสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดสโตมาอุดตันได้ด้วยการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน ดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ และไม่รับประทานอาหารคำโตจนเกินไป
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดการอุดตันขึ้น อย่างเช่นข้าวโพด เซลารี ป๊อปคอร์น ถั่ว โคลสลอว์ หน่อไม้ ลูกเกด ผลไม้อบแห้ง ผิวมันฝรั่ง ผิวแอปเปิล และอื่น ๆ
ภาวะข้างเคียงอื่น ๆ
หลังการผ่าตัดลำไส้ออก จะมีโอกาสที่คุณจะประสบกับผลข้างเคียงต่าง ๆ ดังนี้:
- ปัญหาที่ผิวหนัง: ผิวรอบสโตมาเกิดอาการระคายเคืองและปวดเมื่อย โดยทีมผู้รักษาคุณจะเป็นผู้ชี้แจงแนวทางในการจัดการกับปัญหานี้แก่คุณเอง
- ฝีสโตมอล: การใช้ถุงและการดูแลผิวหนังอย่างถูกวิธีจะช่วยรักษาอาการนี้ได้
- สโตมาร่น: ภาวะที่สโตมาเกิดจมลงไปอยู่ใต้ระดับพื้นผิวหนังหลังจากที่การบวมก่อนหน้าเริ่มยุบตัว ซึ่งภาวะนี้จะทำให้เกิดการรั่วซึมของของเสียได้ เนื่องจากจะทำให้ติดถุงโคลอสโตมีได้ยาก วิธีแก้ไขคือการใช้ถุงรองและอุปกรณ์อีกประเภท และในบางครั้งก็อาจจะการผ่าตัดแก้ไขเกิดขึ้น
- สโตมายื่น: ภาวะที่สโตมายื่นออกมามากกว่าระดับพื้นผิวหนัง การใช้ถุงโคลอสโตมีจะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้บ้างในกรณีที่สโตมายื่นออกมาไม่มากเกินไป แต่บางกรณีก็อาจต้องมีการผ่าตัดแก้ไขขึ้นมา
- สโตมาตีบ: ที่ซึ่งช่องสโตมาเกิดการตีบจนเสี่ยงต่อการอุดตัน ต้องมีการผ่าตัดแก้ไขในกรณีนี้
- การรั่วไหล: ที่ซึ่งของเสียจากระบบย่อยอาหารไหลออกจากลำไส้ใหญ่ไปเลอะผิวหนังโดยรอบหรือภายในช่องท้อง ส่วนมากจะเป็นการรั่วไหลภายนอกซึ่งแก้ไขได้ด้วยการใช้ถุงโคลอสโตมีและอุปกรณ์ต่าง ๆ อีกประเภทแทน แต่หากเป็นการรั่วไหลภายในต้องมีการแก้ไขด้วยการผ่าตัด
- สโตมาขาดเลือด: ที่ซึ่งมีเลือดไปเลี้ยงสโตมาน้อยลงหลังการผ่าตัด อาจต้องมีการผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะนี้
การใช้ชีวิตร่วมกับการรักษาโคลอสโตมี
การปรับตัวให้คุ้นชินกับโคลอสโตมีเป็นเรื่องยากในช่วงแรก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของคุณไปตลอด
ข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ผ่านการทำโคลอสโตมีหรือกำลังจะเข้ารับการรักษาโคลอสโตมีในอนาคตอย่างมาก
อุปกรณ์โคลอสโตมี
หลังการผ่าตัดโคลอสโตมี ช่องเปิดบนหน้าท้องของคุณ (ที่เรียกว่าสโตมา) จะคอยขับของเสียออกมาในรูปแบบของอุจจาระ ซึ่งลักษณะของอุจจาระที่ออกมาจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งที่แพทย์เบี่ยงลำไส้ใหญ่ออกมากอปรกับอาหารที่คุณรับประทานเข้าไป
ต้องมีการใช้ถุงโคลอสโตมีที่ใช้รองเก็บอุจจาระ ซึ่งต้องทำการเปลี่ยนถุงดังกล่าวทุกครั้งที่เต็ม (โดยทั่วไปจะใช้เวลา 1 ถึง 3 ครั้งต่อวัน) หากการขับถ่ายของคุณเป็นของเหลวเสียส่วนใหญ่ควรทำการเปลี่ยนถุงทุก ๆ 1 หรือ 2 วันแทน
อุปกรณ์ที่ใช้ในโคลอสโตมีมีอยู่หลากหลายชิ้นดังนี้:
- ถุงรองแบบชิ้นเดียว: เป็นถุงที่สามารถติดกับผิวหนังของคุณได้ คุณต้องทำการเปลี่ยนและทิ้งถุงที่เต็มแล้วไป
- ถุงแบบสองชิ้น: เป็นถุงรองที่ตัวถุงกับตัวติดแยกกัน ซึ่งสามารถนำมาต่อเข้าด้วยกันได้ ตัวติดสามารถติดคาไว้ที่ผิวหนังของคุณได้เป็นเวลาหลายวัน ส่วนตัวถุงก็สามารถนำออกมาทิ้งได้หลายครั้งในหนึ่งวัน
หากคุณมีการอุจจาระเป็นเวลาและสามารถคาดเดาลักษณะของอุจจาระได้ คุณอาจไม่จำเป็นต้องติดถุงรองไว้กับตัวตลอดเวลา อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงมีการรั่วซึมออกมาได้บ้างบางครั้ง จึงควรทำการสวมหมวกสโตมาปิดเอาไว้จะดีที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญหรือพยาบาลสโตมาที่คอยติดตามคุณทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดลำไส้ จะเป็นผู้แนะนำอุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับกรณีของคุณให้
เพื่อลดความระคายเคืองที่ผิวหนังลง อุปกรณ์โคลอสโตมีทุกประเภทจะถูกผลิตมาจากวัสดุที่ก่อให้เกิดอาการแพ้น้อย อีกทั้งตัวถุงยังมีที่กรองเพื่อป้องกันกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออกมาอีกด้วย
ต่อไปนี้คือรายการอุปกรณ์เสริมที่จะช่วยทำให้การใช้ชีวิตอยู่กับโคลอสโตมีง่ายดายขึ้น:
- เข็มขัดรองรับและผ้ารัดเอว
- ยาดับกลิ่นที่สามารถใส่เข้าไปในอุปกรณ์ได้
- ผ้าเช็ดที่อ่อนโยนต่อผิวหนัง
- สเปรย์กำจัดกาวบนผิวหนัง
- กางเกงในหรือชุดว่ายน้ำที่ออกแบบมาเพื่อผู้ป่วยโคลอสโตมี
โดยทีมรักษาจะสามารถให้คำแนะนำแก่คุณถึงอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับตัวคุณได้
การจัดหาอุปกรณ์โคลอสโตมี
คุณจะได้รับอุปกรณ์ที่จำเป็นทุกอย่างภายหลังการผ่าตัดโคลอสโตมีเสร็จสิ้น พร้อมกับข้อมูลใบสั่งยาและอุปกรณ์ คุณควรให้แพทย์ทั่วไปทราบข้อมูลยาดังกล่าวเพื่อที่จะให้พวกเขาบันทึกประวัติการใช้ยาของคุณและสามารถทำการจ่ายยาตัวเดิมแก่คุณได้อย่างถูกต้องในอนาคต
ยาที่คุณได้รับจะเป็นทั้งแบบใบสั่งยาที่ให้กับนักเคมีหรือถูกส่งไปยังผู้จัดหาอุปกรณ์เฉพาะทางที่จะทำการส่งอุปกรณ์ที่ต้องใช้มาให้ คุณควรทำการสำรองอุปกรณ์ทุกชิ้นเอาไว้มากกว่าที่จำเป็นจริง ๆ เผื่อเหตุสุดวิสัยที่อาจจะ (หรืออาจจะไม่) เกิดขึ้น
การชะล้าง
การชะล้างเป็นอีกกรรมวิธีในการสวมใส่อุปกรณ์โคลอสโตมี ซึ่งเป็นการล้างข้างในลำไส้ใหญ่ของคุณด้วยน้ำทุกวัน หรือทุก ๆ สองวัน
จะมีการใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กที่สามารถค่อย ๆ สอดเข้าสโตมาของคุณและสามารถติดเข้ากับถุงที่เต็มไปด้วยน้ำล้างกับถุงรองน้ำล้างซึ่งคล้ายกับถุงโคลอสโตมีเอง
น้ำจะค่อย ๆ ไหลเข้าไปสู่ลำไส้ใหญ่เพื่อชะล้างอุจจาระตกข้างภายในเข้าไปยังถุงรองน้ำล้าง ซึ่งหลังกระบวนการนี้ ต้องทำการกำจัดอุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ โดยการชะล้างแต่ละครั้งจะมีปลอกหมวกเพื่อปิดช่องสโตมาระหว่างการชะล้างแต่ละครั้ง
ประโยชน์ของการชะล้างคือ:
- คุณสามารถเลือกดำเนินการนี้เมื่อไรก็ได้
- คุณไม่จำเป็นต้องสวมใส่อุปกรณ์โคลอสโตมี (ยกเว้นการสวมปลอกจุกสโตมา)
- คุณไม่ต้องกังวลกับการรับประทานอาหาร
- คุณจะประสบกับอาการท้องอืดจากแก๊สน้อยกว่า
ข้อเสียของการชะล้างคือ:
- เป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานมาก หรือประมาณ 40 ถึง 60 นาทีกว่าจะเสร็จ และต้องทำเกือบทุกวัน
- เพื่อทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ต้องทำการชะล้างต่อเนื่องในวันเดียวกันทุกวัน ซึ่งหากคุณกำลังทำงานหรือไม่อยู่บ้านจะเป็นเรื่องที่ลำบากอย่างมาก
- บางคนอาจรู้สึกไม่ถูกใจกับกระบวนการนี้จนกลับไปใช้การดูแลรูปแบบเดิมแทน
- การชะล้างอาจไม่สามารถใช้กับผู้ที่มีภาวะโรคบางอย่างได้ ยกตัวอย่างเช่นผู้ป่วยโรคโครห์น หรือผู้ป่วยโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ เนื่องจากการชะล้างจะไปสร้างความเสียหายแก่ลำไส้ของผู้ป่วยได้ อีกทั้งการชะล้างยังไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงรับการบำบัดเคมีหรือการบำบัดรังสีอีกด้วย
- การชะล้างเป็นกระบวนการที่ไม่เหมาะสมกับเด็กเนื่องจากแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานมาก
การรับประทานอาหาร
ในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัดโคลอสโตมี คุณจะต้องรับประทานแต่อาหารกากใยต่ำ เนื่องมาจากอาหารที่มีกากใยสูงจะทำให้อุจจาระของคุณมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะไปทำให้ลำไส้เกิดการอุดตันขึ้น ควรรอหลังจากนั้นประมาณ 8 สัปดาห์ก่อนที่คุณจะสามารถกลับไปรับประทานอาหารประเภทดังกล่าวได้
ในช่วงพักฟื้น คุณก็สามารถเริ่มกินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการได้ อย่างการรับประทานผลไม้และผักเยอะ ๆ โดยที่ไม่ต้องกังวลกับข้อจำกัดใด ๆ อีก
กลิ่นและการผายลม
หลายคนกังวลว่าการทำโคลอสโตมีจะทำให้ตัวพวกเขาส่งกลิ่นไปยังคนรอบข้าง แต่ด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ที่มีตัวกรองกลิ่นที่มีถ่านเป็นส่วนประกอบทำให้อุปกรณ์โคลอสโตมีสามารถกักเก็บกลิ่นได้ แม้ว่าตัวคุณจะได้กลิ่นโคลอสโตมีของตัวเอง แต่มั่นใจได่ว่าคนรอบข้างคุณจะไม่ได้กลิ่นจากสโตมาแม้แต่น้อย
หลังจากที่ผ่านการผ่าตัดมาแล้ว โคลอสโตมีของคุณอาจจะส่งเสียงและผายลมออกมาปริมาณมาก ซึ่งปัญหานี้จะค่อย ๆ หายไปเมื่อลำไส้เริ่มฟื้นฟูตัวเอง
พยาบาลสโตมาจะแนะนำการรับประทานอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้แก่คุณ อีกทั้งยังแนะนำหลักโภชนาการเพื่อลดลมในลำไส้ให้แก่คุณอีกด้วย
การใช้ยา
ยาหลายตัวถูกออกแบบมาให้ละลายอย่างช้า ๆ ในระบบย่อยอาหาร ซึ่งการทำโคลอสโตมีจะไม่ส่งผลต่อการใช้ยาใด ๆ แต่หากคุณสังเกตเห็นเม็ดยาหรือแคปซูลในถุงรองโคลอสโตมี ให้แจ้งเภสัชกรหรือแพทย์ในทันทีโดยพวกเขาจะทำการเปลี่ยนยาตัวใหม่ที่เข้ากับกระเพาะของคุณให้เอง
การออกกำลังกาย
ภายหลังการผ่าตัดไม่กี่สัปดาห์ คุณจะถูกแนะนำให้ทำการออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย ซึ่งความเร็วในการฟื้นตัวของคุณจะเป็นตัวกำหนดขีดจำกัดที่คุณสามารถออกกำลังกายได้ หากคุณรู้สึกเจ็บปวด ให้หยุดกิจกรรมนั้น ๆ ในทันที อีกทั้งถุงโคลอสโตมีทุกประเภทสามารถกันน้ำได้ จึงสามารถนำมันลงไปว่ายน้ำด้วยได้
การทำงาน
เมื่อลำไส้ของคุณฟื้นตัวเองสมบูรณ์แล้ว คุณก็สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ หากงานที่คุณทำต้องใช้แรงหนัก ๆ หรือมีการแบกของหนักเกินไป คุณควรสวมเข็มขัดรองหรือสายรัดเอวไว้
โดยทั่วไปคุณต้องใช้เวลาหลายเดือนก่อนที่จะสามารถกลับไปทำงานได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความเร็วในการฟื้นร่างกายของคุณกับประเภทของงานที่ทำเอง คุณควรทำการชี้แจงผู้ว่าจ้างของคุณก่อนเข้ารับการผ่าตัดโคลอสโตมีถึงทางเลือกต่าง ๆ ไว้ก่อน
ผู้ว่าจ้างส่วนใหญ่มักจะเข้าใจและจัดหางานที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณให้ หรืออาจปรับเวลาทำงานของคุณให้อย่างเปลี่ยนไปทำงานที่บ้านหรือบางเวลาแทนจนกว่าร่างกายของคุณจะฟื้นสภาพทั้งหมด
คุณไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องโคลอสโตมีกับเพื่อนร่วมงานของคุณ (นอกเสียจากว่าคุณสมัครใจ) แต่หากคุณต้องการแรงสนับสนุนเสริม การบอกต่อเรื่องราวของคุณก็เป็นความคิดที่ดีเช่นกัน
การเดินทาง
การเข้ารับการรักษาโคลอสโตมีไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่เป็นอิสระอีกต่อไป คุณเพียงแค่ต้องการเวลาวางแผนการเดินทางมากกว่าปรกติเท่านั้น
พยาบาลที่ดูแลคุณจะคอยให้คำแนะนำในเรื่องการเดินทางกับสโตมาแก่คุณ โดยแนะว่าคุณควรจะมีประกันสุขภาพเผื่อเอาไว้ด้วย
เมื่อคุณเดินทางไปต่างประเทศ ควรพกอุปกรณ์โคลอสโตมีติดตัวไปด้วยเยอะ ๆ เนื่องจากบางประเทศ การหาซื้ออุปกรณ์เหล่านี้เป็นเรื่องยาก
เพศสัมพันธ์
มีประเด็นสำคัญมากมายที่โคลอสโตมีส่งผลกระทบมากที่สุด หนึ่งในนั้นคือชีวิตเซ็กส์และความสัมพันธ์ของคุณ
ผู้หญิง
ผู้หญิงที่ต้องทำการนำไส้ตรงออกจะสังเกตว่าการมีเพศสัมพันธ์แบบ “มิชชันนารี” จะสร้างความเจ็บปวด เนื่องมาจากช่องคลอดไม่ได้มีไส้ตรงมาหนุนรองอีกต่อไปทำให้การเล่นกระบวนท่าดังกล่าวอาจไม่สนุกอีกแล้ว ควรเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าอื่นแทน
หลังการผ่าตัด ผู้หญิงหลายคนจะรู้สึกว่าช่องคลอดของตนเองจะแห้งกว่าแต่ก่อน จนทำให้การมีเพศสัมพันธ์ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งการใช้เจลหล่อลื่นก่อนมีเพศสัมพันธ์จะช่วยได้มาก
การที่โดนกดทับบนสโตมาระหว่างการมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ ดังนั้นคุณควรหลีกเลี่ยงตำแหน่งท่าทางที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้น หรือจะใช้หมอนหรือเบาะมารองปิดสโตมาไว้ก็ได้
ผู้ชาย
หลังการทำโคลอสโตมี ผู้ชายบางคนจะมีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศน้อยลงเนื่องจากความเสียหายที่ประสาทกับหลอดเลือด ซึ่งทำให้การแข็งตัวขององคชาติเป็นไปได้ยากหรือคงสภาพไม่ได้นาน
มีหลายวิธีการในการแก้ไขภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนี้ อย่างเช่นการรับประทานยาซิลเดนาฟิลที่มีฤทธิ์ช่วยให้มีการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศมากขึ้น
ประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ
นอกจากประเด็นดังกล่าว คุณอาจรู้สึกกังวลกับรูปร่างภายนอกของคุณ รวมทั้งกลุ้มใจว่าการทำโคลอสโตมีอาจส่งผลต่อความมั่นใจและปฏิกิริยาของคู่รักของคุณ ซึ่งย่อมส่งผลต่อความสนุกบนเตียงของคุณตามมา
เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าผู้ที่เข้ารับการทำโคลอสโตมีหลายคนได้มีความสุขกับชีวิตเซ็กส์ที่ดีแม้จะเคยประสบกับช่วงเวลาที่ต้องฟื้นฟูความมั่นใจไปพร้อมกับร่างกายหลายเดือน
หากคุณเป็นคนที่มีคู่ชีวิตอยู่แล้ว คุณควรเปิดเผยทั้งบาดแผลและอุปกรณ์โคลอสโตมีกับพวกเขา ส่วนใหญ่แล้วคนรักของคุณจะอยากเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของคุณอยู่แล้ว แม้บางคนจะมองว่าโคลอสโตมีน่ากลัวหรือไม่น่าดูอย่างไร ความคิดเหล่านั้นมักจะเป็นมุมมองในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น คุณเองต้องพึงเข้าใจว่าปฏิกิริยาที่แต่ละคนมีต่อโคลอสโตมีนั้นไม่มีถูกหรือผิด พยายามอย่าเอาเรื่องนี้เข้ามาเป็นประเด็นหลักระหว่างพวกคุณ
หากหน้าตาสโตมาหรืออุปกรณ์โคลอสโตมีทำให้คู่นอนของคุณหมดอารมณ์ร่วม คุณก็สามารถปกปิดสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยชุดนอนหรือกางเกงบ็อกเซอร์ เป็นต้น
คำแนะนำในการพัฒนาชีวิตเซ็กส์ของคุณมีดังนี้:
- เปลี่ยนอุปกรณ์โคลอสโตมีที่อยู่บนตัวคุณก่อนมีเพศสัมพันธ์
- เปลี่ยนอุปกรณ์โคลอสโตมีเป็นจุกปลอกสโตมาขนาดเล็กแทน
- ปิดอุปกรณ์โคลอสโตมีด้วยผ้าหากอุปกรณ์สร้างความรำคาญกับผิวหนังคุณระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- พยายามอย่าทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องตลกเพราะอาจสร้างความอับอายแก่คู่นอนของคุณหรือกับตัวคุณเอง
- พยายามหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก (หากไม่ได้ทำการผ่าตัดไส้ตรงออก) เนื่องจากอาจทำให้เกิดการฉีกขาดจนมีเลือดออกได้ และอย่าใช้สโตมาเป็นอุปกรณ์ทางเพศโดยเด็ดขาด
โคลอสโตมีแบบกลับคืน
หากการทำโคลอสโตมีของคุณมีไว้เพื่อการรักษาชั่วคราว แพทย์จะทำการผ่าตัดกลับคืนลำไส้ในวันหลัง
การผ่าตัดกลับคืนจะดำเนินการก็ต่อเมื่อสุขภาพร่างกายของคุณดีพร้อม และหายขาดจากผลข้างเคียงหลังการผ่าตัดโคลอสโตมีแล้ว ซึ่งมักจะเป็นช่วง (อย่างน้อย) 12 สัปดาห์หรือมากกว่าหลังจากการผ่าตัดครั้งแรก
การผ่าตัดกลับคืนอาจถูกดันออกไปให้ล่าช้ากว่าเดิมได้หากคุณต้องทำการรักษาอื่น ๆ อย่างการบำบัดเคมี หรือยังฟื้นตัวจากการผ่าตัดแรกไม่สมบูรณ์ หลายคนที่ต้องทำการผ่าตัดคืนสภาพลำไส้อาจต้องใช้ชีวิตอยู่กับสโตมานานหลายปีก็เป็นได้ และตัวสโตมาเองก็ไม่ได้มีเวลาจำกัดในการใช้งานแต่อย่างใด
ในบางกรณีอาจไม่แนะนำให้มีการผ่าตัดกลับคืน ยกตัวอย่างเช่นหากกล้ามเนื้อที่ควบคุมหูรูดเสียหายจากการผ่าตัด การผ่าตัดกลับคืนจะไม่สามารถซ่อมแซมกล้ามเนื้อส่วนนี้ได้และจะทำให้คุณมีภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่
การผ่าตัดกลับคือลูปโคลอสโตมีเป็นหัตถการที่ตรงไปตรงมา โดยมีการกรีดรอบสโตมาเพื่อให้ศัลยแพทย์เข้าไปถึงชั้นภายในช่วงท้องของคุณ เพื่อทำการต่อลำไส้ใหญ่ส่วนบนกับส่วนอื่น ๆ ที่เหลือ
สามารถทำการผ่าตัดกลับคือกับโคลอสโตมีตอนปลายได้ แต่ทางศัลยแพทย์ต้องทำการกรีดช่องท้องกว้างกว่า และต้องทำการต่อติดลำไส้ใหญ่ถึงสองส่วนด้วยกัน ทำให้การฟื้นตัวหลังการผ่าตัดแบบนี้จะใช้ระยะเวลานานกว่า และมีโอกาสเกิดภาวะข้างเคียงรุนแรงมากกว่า
การฟื้นตัวหลังการผ่าตัดโคลอสโตมีกลับคืน
ผู้คนส่วนมากจะฟื้นตัวและสามารถออกจากโรงพยาบาลได้หลังจากการผ่าตัดกลับคืนลำไส้ใหญ่ประมาณ 3-10 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของกระบวนการโคลอสโตมีที่คุณเคยทำ
แต่การจะให้ร่างกายกลับไปมีระบบขับถ่ายเหมือนปรกตินั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา บางคนอาจมีอาการท้องผูกหรือท้องร่วงบ้าง ซึ่งจะดีขึ้นเองตามกาลเวลา
บางคนอาจมีอาการปวดทวารหนักหลังการผ่าตัดกลับคืน ซึ่งจะดีขึ้นเมื่อร่างกายชินกับการที่อุจจาระต้องไหลออกจากทวารไปเอง คุณสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการล้างผิวหนังบริเวณรอบทวารหนักด้วยน้ำอุ่นหลังการเคลื่อนตัวของลำไส้ทุกครั้ง หลังจากนั้นก็ซับให้แห้งด้วยผ้าขนนุ่มก่อนทาครีมป้องกันผิวหนัง พยายามเลี่ยงการใช้แป้งหรือกระดาษเย็นที่ใส่กลิ่นเนื่องจากอาจทำให้การระคายเคืองรุนแรงมากขึ้น
อีกปัญหาที่มักประสบกันคือคุณจะอยากเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น มีอาการท้องอืดบ่อย ๆ และมีภาวะกลั้นอุจจาระไม่ได้บ้าง
เนื่องจากระบบย่อยอาหารของคุณมีความอ่อนไหวมากขึ้นหลังการผ่าตัดกลับคืน คุณอาจถูกแนะนำให้งดการรับประทานอาหารกลางดึก เลี่ยงการทานอาหารมื้อใหญ่และกินขนาดคำเล็ก ๆ แทน และอาจต้องทำการงดอาหารที่ไปกัดกระเพาะไปด้วย เช่น:
- ผลไม้ตระกูลส้ม: อย่างเช่นส้ม หรือเกรปฟรุต
- อาหารรสเผ็ด: อย่างเช่นแกงกะหรี่
- อาหารที่มีไขมันสูง
- ผักที่ทำให้เกิดการท้องอืด: อย่างเช่นกะหล่ำปลี และหัวหอม
- เครื่องดื่มอัดแก๊สและแอลกอฮอล์ เป็นต้น
หัตถกรรมกลับคืนมักเป็นกระบวนการผ่าตัดขนาดเล็ก ซึ่งเล็กกว่าการผ่าตัดโคลอสโตมีครั้งแรก แต่ก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานหลายสัปดาห์ก่อนที่ร่างกายจะสามารถกลับไปเผชิญกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปรกติอยู่ดี