กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

เลือดจาง/โลหิตจาง โรคที่น่ากลัวกว่าที่คิด

ซีด เหลือง ไม่สดชื่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หากมีอาการดังกล่าว อย่าวางใจว่า "เดี๋ยวก็หาย" แต่ต้องไปพบแพทย์
เผยแพร่ครั้งแรก 26 ต.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 8 พ.ค. 2021 ตรวจสอบความถูกต้อง 10 พ.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
เลือดจาง/โลหิตจาง โรคที่น่ากลัวกว่าที่คิด

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ภาวะโลหิตจาง คือภาวะที่ร่างกายมีความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงน้อย และค่าระดับฮีโมโกลบินต่ำ
  • อาการที่มาพร้อมกับภาวะโลหิตจาง เช่น ซีด อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดบ่อย หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก และอาจถึงขั้นเสียชีวิต
  • สาเหตุของภาวะโลหิตจางมีหลายสาเหตุ เช่น ขาดสารอาหาร ร่างกายสูญเสียเลือดมาก หรือมีความผิดปกติในร่างกายจนทำให้มีการทำลายเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ
  • ภาวะโลหิตจางแต่กำเนิดไม่สามารถป้องกันได้ แต่ปัจจัยอื่นๆ ที่เกิดภายหลังสามารถป้องกันได้ เช่น รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ
  • หากสงสัยว่า เป็นภาวะโลหิตจาง หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ อย่าเพิกเฉย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ (ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพได้ที่นี่)

ภาวะโลหิตจาง (Anemia)” หรือเลือดจาง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "ภาวะซีด" หรือ "เลือดน้อย" คือภาวะที่ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทำให้ไม่สามารถนำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ ได้ดีเท่าที่ควร

การที่ร่างกายมีภาวะโลหิตจางจะทำให้เกิดอาการซีด วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น และบางคนอาจเป็นลมหมดสติได้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

เราอาจได้ยินคำว่า เลือดจาง หรือโลหิตจางกันอยู่บ่อยๆ และคิดว่าเกิดจากร่างกายขาดสารอาหาร แต่รู้หรือไม่ว่า ภาวะโลหิตจางนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งที่เป็นมาแต่กำเนิด และเพิ่งเป็นภายหลัง ซึ่งแต่ละสาเหตุนั้นก็มีความรุนแรงต่างกันไป

อาการของภาวะโลหิตจาง

การที่ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติทำให้ร่างกายขาด “ฮีโมโกลบิน” ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยลำเลียงออกซิเจนไปยังเซลล์ และเนื้อเยื่อต่างๆ โดยระดับค่าฮีโมโกลบิน และความเข้นของเม็ดเลือดแดงแตกต่างกันในแต่ละเพศสภาพ ดังนี้

  • ผู้หญิง: ค่าฮีโมโกลบินในเลือดต่ำกว่า 12 กรัม/เดซิลิตร และมีค่าเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่า 36 เปอร์เซ็นต์
  • ผู้ชาย: ค่าฮีโมโกลบินในเลือดต่ำกว่า 13 กรัม/เดซิลิตร และมีค่าเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่า 39 เปอร์เซ็นต์

อาการผิดปกติที่มาพร้อมกับภาวะโลหิตจาง

  • อ่อนเพลีย ใจสั่น และเหนื่อยง่ายกว่าปกติ
  • เหลือง ซีด มือเท้าเย็น ผิวหนังไม่มีเลือดฝาด
  • วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว มึนงง และหน้ามืดบ่อย
  • หายใจลำบาก และอาจมีอาการเจ็บหน้าอกเป็นบางครั้ง
  • ไม่สดชื่น

ทั้งนี้ความรุนแรง และความถี่ในการเกิดอาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล หากภาวะโลหิตจางเกิดจากสาเหตุที่รุนแรงมาก ก็อาจอันตรายถึงขั้นเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ช็อก และเสียชีวิต

หากมีอาการเข้าข่ายภาวะโลหิตจาง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count) โดยหากตรวจพบว่า ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงน้อยจะได้รับการวินิจฉัยว่า มีภาวะโลหิตจาง

สาเหตุของภาวะโลหิตจาง

การที่มีปริมาณเม็ดเลือดแดงน้อยลงจนนำไปสู่ภาวะเลือดจางนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่

1. ร่างกายสูญเสียเลือดมาก

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

เป็นสาเหตุของภาวะโลหิตจางที่พบได้บ่อย โดยการเสียเลือดอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน หรือเกิดแบบเรื้อรังก็ได้

ตัวอย่างปัจจัยที่ทำให้เสียเลือดมาก ได้แก่

  • การเกิดอุบัติเหตุ
  • การตกเลือดจากการคลอด หรือแท้งบุตร
  • การติดเชื้อพยาธิปากขอ
  • เสียเลือดจากการมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
  • เลือดออกจากทางเดินอาหาร
  • อุจาระมีเลือดปน

2. มีการสร้างเม็ดเลือดแดงน้อย

ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ มีทั้งโรคที่เป็นมาแต่กำเนิด และโรคที่เกิดขึ้นภายหลัง

ตัวอย่างปัจจัยที่ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดแดงน้อย ได้แก่

  • มีความผิดปกติของไขกระดูก เช่น ไขกระดูกฝ่อ ติดเชื้อในไขกระดูก มะเร็งไขกระดูก เนื่องจากไขกระดูกเป็นอวัยวะที่สร้างเม็ดเลือดแดงในผู้ใหญ่
  • มีความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ภาวะขาดฮอร์โมนอีริโทรโพอิติน (Erythropoietin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากไต และกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง การขาดฮอร์โมนดังกล่าวอาจเป็นความผิดปกติแต่กำเนิด
  • โรคเรื้อรัง เช่น โรคไตวายเรื้อรัง โรคตับ และข้ออักเสบ

3. ขาดสารอาหาร

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะวิตามินบี 12 โฟเลต และธาตุเหล็ก สารอาหารที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง การขาดสารอาหารเหล่านี้จะทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ส่วนใหญ่จะพบในผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ ผู้ที่มีอาการเบื่ออาหาร และผู้มีรายได้น้อย

4. การตั้งครรภ์

ว่าที่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในช่วง 6 เดือนแรก อาจมีภาวะขาดโฟเลต และธาตุเหล็ก ทำให้มีโอกาสเกิดโลหิตจางได้บ่อยๆ การรับประทานโฟเลต และธาตุเหล็กเสริมขณะตั้งครรภ์จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโลหิตจางได้

5. มีการทำลายเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ

ปัจจัยที่ทำให้เม็ดเลือดแดงถูกทำลายมากกว่าปกตินั้นมีมากมาย ซึ่งมีทั้งปัจจัยที่เป็นแต่กำเนิดและปัจจัยที่เกิดขึ้นภายหลัง เช่น

  • โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) ซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้เกิดอาการผิดปกติตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงขึ้นอยู่กับชนิดของธาลัสซีเมีย
  • โรค Sickle cell anemia ทำให้เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างผิดปกติ ไม่สามารถขนส่งออกซิเจนได้สมบูรณ์ และถูกทำลายได้ง่าย
  • มีม้ามโต ซึ่งม้ามเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ทำลายเม็ดเลือดแดง
  • โรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
  • โรคไขกระดูกเสื่อม

6. ปัจจัยอื่นๆ

ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง เช่น เกิดการติดเชื้อไวรัสบางชนิด ร่างกายขาดเอนไซม์บางตัว หรือเป็นผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนของภาวะโลหิตจาง

อันตรายจากภาวะโลหิตจางโดยทั่วไปมักมาจากอาการอ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย ทำให้ทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้ตามปกติ หรืออาจหน้ามืด เป็นลม หมดสติ จนเกิดอุบัติเหตุได้

นอกจากนี้ผู้ป่วยที่มีโลหิตจาง “หัวใจ” จะต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อสูบฉีดเลือด ทำให้อาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และหัวใจวายได้เช่นกัน

ส่วนผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียที่ต้องรับเลือดเป็นประจำ ก็เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเหล็กเกินซึ่งอาจเป็นอันตรายได้

การรักษาภาวะโลหิตจาง

การรักษาภาวะโลหิตจางจะรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค เช่น

1. การรับสารอาหารเสริม

ผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางจำนวนมาก มักขาดสารอาหารสำคัญทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ดังนั้นแพทย์จะแนะนำให้รับประทานธาตุเหล็ก วิตามิน บี12 และโฟเลตเสริม รวมถึงรับประทานอาหารที่มีสารอาหารดังกล่าวสูงด้วย เช่น เครื่องในสัตว์ นม ไข่ และผักใบเขียว

2. การรับฮอร์โมนเสริม

วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ขาดฮอร์โมนอีริโทรโพอิติน โดยแพทย์จะฉีดฮอร์โมนเข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ผู้ที่มีประจำเดือนมากกว่าปกติ หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ เช่น ผู้ที่อยู่ในวัยทอง อาจต้องรับฮอร์โมนบางอย่างเพื่อปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย

3. การรับเลือดทดแทน

ใช้รักษาในผู้ที่มีภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือดมาก และผู้ที่เป็นโรคทางพันธุกรรมทำให้มีโลหิตจางอย่างรุนแรง เช่น ผู้ป่วยธาลัสซีเมียบางชนิด สิ่งที่ต้องระวังจากการรับเลือดเป็นประจำคือ “ภาวะเหล็กเกิน” ทำให้ผู้ป่วยบางคนต้องรักษาด้วยวิธีล้างพิษหลอดเลือด (Chelation therapy) เพื่อขับเหล็กออกจากร่างกายด้วย

4. การปลูกถ่ายไขกระดูก

ในกรณีที่มีภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง และสาเหตุมาจากความผิดปกติของไขกระดูก แพทย์อาจแนะนำให้เปลี่ยนถ่ายไขกระดูก โดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาคที่มีความเข้ากันได้กับร่างกายผู้ป่วย

5. การตัดม้าม

หากมีภาวะม้ามโต และเกิดการทำลายเม็ดเลือดแดงมาก แพทย์อาจรักษาด้วยการตัดม้าม ซึ่งจะช่วยให้อาการซีด และภาวะเลือดจางดีขึ้น แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ ภูมิคุ้มกันร่างกายอาจอ่อนแอลงหลังตัดม้าม ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย

การป้องกันภาวะโลหิตจาง

ภาวะโลหิตจางที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมนั้นไม่สามารถป้องกันได้ แต่เราสามารถป้องกันปัจจัยอื่นๆ ซึ่งรับมาภายหลังได้ ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เสียเลือดมาก
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีธาตุเหล็ก วิตามินบี12 และโฟเลตสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ นม ไข่ ผักใบเขียว และธัญพืช โดยเฉพาะหากอยู่ในระหว่างตั้งครรภ์
  • หากมีประจำเดือนมากผิดปกติ หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ เช่น ผู้ที่อยู่ในวัยทอง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับประทานธาตุเหล็กและโฟเลตเสริม
  • ไม่รับประทานยาชุด เช่น ยาแก้ปวดเมื่อย เนื่องจากอาจระคายเคืองกระเพาะอาหารทำให้มีเลือดออกในทางเดินอาหารและลำไส้ได้
  • หากมีภาวะโลหิตจางอยู่แล้ว และวางแผนจะมีลูก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางป้องกันไม่ให้โรคถ่ายทอดไปสู่ลูก
  • หากมีอาการปวดเสียดแน่นท้อง ขับถ่ายอุจจาระผิดปกติ เช่น มีเลือดปนออกมา มีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ หรือสงสัยว่ามีภาวะโลหิตจาง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย เพื่อหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัพเดทแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Peter Lam, Everything you need to know about anemia (https://www.medicalnewstoday.com/articles/158800.php), 28 November 2017
Jerry R. Balentine and William C. Shiel Jr, Anemia (https://www.medicinenet.com/an...), 25 October 2017

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)