มีคนจำนวนไม่น้อยไม่รู้ว่าไข้เลือดออกอันตรายแค่ไหน หากเป็นแล้วไม่ได้รักษาที่ถูกต้องทันเวลา อาการอาจทรุดหนักจนเสี่ยงเสียชีวิตได้เลย เราไปทำความรู้จักกับโรคไข้เลือดออก โรคอันตรายใกล้ตัวที่ควรระวังกันผ่านคำถามพบบ่อยกัน
1. สาเหตุของโรคไข้เลือดออก เกิดจากอะไร
ไข้เลือดออก (Dengue fever) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) โดยมีพาหะนำโรคเป็นยุงลายตัวเมีย เมื่อยุงลายที่มีเชื้อไวรัสเดงกีไปกัดคนจะส่งต่อเชื้อไวรัสไปสู่คนนั้น อาจทำให้เกิดการติดเชื้อจนเป็นโรคไข้เลือดออกตามมา
เชื้อไวรัสเดงกีมีอยู่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 เมื่อติดเชื้อสายพันธุ์ใดแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอด แต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นเพียงชั่วคราว
2. อาการของโรคไข้เลือดออกเป็นแบบไหน สังเกตอย่างไร
ผู้ป่วยส่วนมากจะไม่มีอาการ ส่วนคนที่มีอาการจะมีความรุนแรงต่างกันไป ตั้งแต่ไข้สูงไปจนถึงอาการรุนแรงมากจนช็อก และเสียชีวิต โดยอาการเด่น ๆ ของโรค คือ
- มีไข้สูงอย่างเฉียบพลัน 39-40 องศาเซลเซียส ประมาณ 2–7 วัน
- อ่อนเพลีย ปวดหัว ปวดตา ปวดเมื่อยตามตัว
- ปวดท้องอย่างรุนแรง กดเจ็บชายโครงด้านขวา
- คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
- เกิดผื่นแดง อาจมีอาการคัน
- มีจุดเลือดออกเล็ก ๆ กระจายตามแขน ขา และลำตัว
- มีภาวะเลือดออกบริเวณต่าง ๆ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ปัสสาวะมีเลือดปน ถ่ายอุจจาระออกมาเป็นสีดำเข้มและซีดอย่างรวดเร็ว
- ระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลวหรือเกิดภาวะช็อก (Dengue shock syndrome) หลังไข้ลง มักเกิดกับคนที่มีอาการรุนแรง เพราะสารน้ำในหลอดเลือดรั่วออกนอกหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตต่ำลง มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย ปัสสาวะออกน้อย ซึม ชัก หมดสติ หัวใจหยุดเต้น อาจเสียชีวิต
อาการของผู้ป่วยไข้เลือดออกส่วนใหญ่อาจเกิดไม่พร้อมกัน อาการอาจจะหนัก–เบาไม่เท่ากันได้ และไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการ จึงต้องเฝ้าติดตามเป็นระยะ
เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคไข้เลือดออก โดยมีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส นานเกิน 2 วัน หรือหน้าแดง คอแดง ปวดศีรษะ หรือปวดกระบอกตา ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว จะช่วยให้ลดโอกาสการเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกได้
3. อาการใกล้หายไข้เลือดเป็นอย่างไร
ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการรุนแรงหรือภาวะช็อก อาการดีขึ้นเมื่อผ่านไป 2–3 วัน ไข้จะเริ่มลดลง เริ่มรับประทานอาหารได้ อาการปวดท้องดีขึ้น ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติ ความดันโลหิตและชีพจรคงที่ แต่อาจมีผื่นแดง คันตามฝ่ามือและฝ่าเท้าอยู่ ซึ่งปกติจะหายภายใน 1 สัปดาห์
4. ใครเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออกที่รุนแรง
โรคไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้กับทุกกลุ่มอายุ แต่คนกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป ได้แก่
- เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เสี่ยงเกิดอาการชัก เนื่องจากภาวะสมองอักเสบจากไข้เลือดออก
- ผู้ใหญ่ในช่วงอายุ 15–60 ปี เป็นกลุ่มที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองกับเชื้อไวรัสรุนแรง เสี่ยงเกิดโรครุนแรงได้มากกว่าผู้สูงอายุ
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคอ้วน โรคปอด โรคหัวใจ อาจเสี่ยงเกิดอาการช็อกและรักษาได้ยากกว่ากลุ่มอื่น ส่วนโรคอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคหอบหืด โรคธาลัสซีเมีย ไตวาย และตับแข็ง
- คนที่รับประทานยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) หรือยาในกลุ่มยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
- คนที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาแล้ว
- คุณแม่ตั้งครรภ์ หรือผู้หญิงที่อยู่ระหว่างมีประจำเดือน
5. โรคไข้เลือดออกติดต่อสู่คนอื่นไหม
โรคไข้เลือดออกไม่ติดต่อจากคนสู่คนได้โดยตรง การติดต่อต้องอาศัยยุงลายเป็นพาหะนำโรคโดยยุงลายตัวเมียจะดูดเลือดของคนที่เป็นโรคไข้เลือดออกก่อน เชื้อจะเข้าไปเพิ่มจำนวนมากในตัวยุงประมาณ 8–12 วัน
หลังจากนั้นยุงลายตัวเดิมจะไปกัดคนถัดไปในระยะทางไม่เกิน 400 เมตร เชื้อดังกล่าวก็จะแพร่เข้าสู่คนที่ถูกกัดได้ทันที ซึ่งเชื้อไวรัสเดงกีมีระยะฟักตัวในคน ประมาณ 3–14 วัน ถึงเริ่มแสดงอาการของโรคไข้เลือดออก

6. โรคไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่เป็นยังไง
ปัจจุบันเชื้อไวรัสเดงกีที่ก่อโรคไข้เลือดออกในประเทศไทยมีอยู่ 4 สายพันธุ์เท่านั้น คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 การติดเชื้อครั้งแรกไข้เลือดออกมักไม่มีอาการ หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย
เมื่อป่วยจากไข้เลือดออกจากสายพันธุ์อื่นในครั้งถัดไป จะก่อให้เกิดอาการรุนแรงขึ้น มีโอกาสเกิดภาวะช็อก และอาจเสียชีวิต หลายคนเลยอาจเข้าใจว่าเป็นโรคไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นสายพันธุ์เดิมที่เคยมีมาแล้วนั่นเอง
7. ป่วยเป็นไข้เลือดออกแล้ว เป็นซ้ำได้ไหม
ไวรัสเดงกีมีถึง 4 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน ทุกสายพันธุ์ล้วนก่อให้เกิดไข้เลือดออกได้เหมือนกัน ทำให้มีโอกาสเป็นโรคไข้เลือดออกซ้ำได้ถึง 4 ครั้ง เมื่อติดสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งไปแล้ว ก็ยังเหลืออีก 3 สายพันธุ์ที่จะเป็นได้อีก

8. ทำไมอาการรุนแรงเมื่อเป็นติดเชื้อไข้เลือดออกซ้ำ
คนที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีครั้งแรกมักไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้น ร่างกายจะสร้างแอนติบอดีหรือภูมิคุ้มกัน (Antibody) ต่อสายพันธุ์ที่ติดตลอดไป เพื่อป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดิมซ้ำ และยังสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นในระยะสั้น 3–12 เดือน
เมื่อติดเชื้อซ้ำคนละสายพันธุ์กับการเป็นไข้เลือดออกในครั้งแรก ร่างกายเลยไม่สามารถทำลายเชื้อได้ ขณะเดียวกันการสร้างภูมิคุ้มกันที่มากเกินนี้ ก็สามารถทำลายเซลล์ของร่างกายได้มากขึ้น ทำให้เกิดอาการที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าการเป็นไข้เลือดออกในครั้งแรก
9. เป็นไข้เลือดออกกี่วันหาย ดูแลตัวเองอย่างไร
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคไข้เลือดออกหรือยาต้านไวรัสโดยเฉพาะ การรักษาเป็นไปตามอาการ เพื่อให้ร่างกายผู้ป่วยกลับสู่ภาวะปกติเร็วที่สุด คนที่อาการไม่รุนแรงอาจหายได้เองภายใน 2–7 วัน
การดูแลทั่วไปตามคำแนะนำแพทย์ เช่น
- เช็ดตัวลดไข้เป็นระยะ เพื่อป้องกันอาการชัก
- รับประทานยาลดไข้แก้ปวด โดยให้ใช้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ห้ามใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) และยากลุ่ม NSAIDs เด็ดขาด เพราะอาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดออกง่ายและมากขึ้น
- รับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ ดื่มน้ำเกลือแร่ ORS ร่วมด้วย โดยให้ดื่มทีละน้อย ๆ แต่ดื่มบ่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการกระสับกระส่าย อาเจียนมาก ปวดท้องมาก ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ตัวเย็นผิดปกติ ไม่ปัสสาวะนานกว่า 4–6 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
10. การรับวัคซีนเพื่อป้องกันไข้เลือดออกมีกี่แบบ ฉีดอย่างไร
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกทุกสายพันธุ์ในประเทศไทยปัจจุบันมี 2 ชนิด ช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ทุกสายพันธุ์ ได้แก่
- วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม แต่ละเข็มห่างกัน 3 เดือน ฉีดได้ในคนอายุ 4 ปีขึ้นไป ทั้งคนที่เคยและไม่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน โดยไม่จำเป็นต้องตรวจภูมิคุ้มกัน
- วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม แต่ละเข็มห่างกัน 6 เดือน ฉีดได้ในคนอายุ 6–45 ปี และต้องเคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน กรณีไม่มีประวัติเป็นไข้เลือดออก แนะนำให้ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีดวัคซีน
ผลข้างเคียงมักเป็นอาการทั่วไป เช่น ปวดตรงที่ฉีดวัคซีน ปวดหัว และปวดกล้ามเนื้อ ส่วนมากจะหายเองได้ภายใน 1–3 วัน
โรคไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจนเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ การป้องกันโรคด้วยการดูแลตนเองและคนรอบข้างไม่ให้ถูกยุงกัด ร่วมกับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เพื่อช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและลดความรุนแรงของโรค
ที่มาของข้อมูล:
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข: “ไข้เด็งกี่ (Dengue)”.
- สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย: “โรคไข้เลือดออก (Dengue)”.
- โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์: “โรคไข้เลือดออก”.
- โรงพยาบาลบางปะกอก: “ภาวะแทรกซ้อนอันตราย จากไข้เลือดออก”.
- โรงพยาบาลวิภาวดี: “โรคไข้เลือดออกระบาด - สาเหตุ อาการ ระวัง ป้องกัน รู้ทันยุงลาย”.
- ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย แนะนำโดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2568
การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม
C-ANPROM/TH/DENV/0758: APR 2025