June 19, 2018 10:56
ตอบโดย
พิศุทธิกาญจญ์ รังคกูลนุวัฒน์ (พญ.)
โดยปกติ ยาคุมกำเนิดชนิดกินแบ่งเป็น 2 อย่างคร่าวๆ คือ ยาคุมกำเนิดแบบปกติ และยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน ซึ่งในที่นี้จะพูดถึงยาคุมกำเนิดแบบปกติคะ
เม็ดยาคุมกำเนิด(Oral contraceptive pill หรือ Birth control pill) คือยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน) ที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการตั้งครรภ์โดยยับยั้งการตกไข่ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีสภาพไม่พร้อมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และทำให้มูกที่ปากมดลูกมีความเหนียวข้นขึ้น จนเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนตัวของอสุจิให้ไม่สามารถเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ โดยจะแบ่งเป็นยาคุมกำเนิด เป็นชนิดต่างๆดังนี้
1.ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptive – COC) เป็นยาคุมกำเนิดที่ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนรวมกันในเม็ดเดียว ซึ่งแยกออกเป็น 2 แบบ (3 ชนิด) คือ
1.แบบที่มีฮอร์โมนทั้งสองชนิดเท่ากันทุกเม็ด (Monophasic (one-phase) pills) เป็นชนิดที่ประกอบด้วยเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนในขนาดคงที่เท่ากันทุกเม็ด ใน 1 ชุดจะมี 21 เม็ด ยาชนิดนี้จะเป็นที่นิยมใช้มากที่สุดคะ เนื่องจากใช้ง่ายและได้ผลดี
2.แบบที่ฮอร์โมนทั้งสองชนิดไม่เท่ากัน โดยต่างกันเป็น 2-3 ระยะใน 1 ชุด ชนิด 2 ระยะหรือยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดสองระยะ (Biphasic (two-phase) pills) จะประกอบด้วยเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนในปริมาณต่างกัน 2 แบบ เพื่อเลียนแบบการหลั่งฮอร์โมนของร่างกาย ในช่วงต้นรอบเดือนจะมีเอสโตรเจนสูงกว่าโปรเจสโตเจน ส่วนช่วงปลายรอบเดือนจะมีโปรเจสโตเจนมากกว่าเอสโตรเจน ซึ่งจะมี 2 สี คือ 7 เม็ด และ 15 เม็ด
3.สามระยะ (Triphasic (three-phase) pills) จะประกอบด้วยเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนในปริมาณที่ต่างกัน 3 แบบ เพื่อเลียนแบบการหลั่งฮอร์โมนของร่างกายให้มากที่สุด โดยจะมีเอสโตรเจนต่ำอยู่ 2 ช่วง คือ ช่วงต้นและช่วงปลายรอบเดือน ส่วนกลางเดือนจะมีปริมาณเอสโตรเจนมากที่สุด ส่วนโปรเจสโตเจนจะมีปริมาณต่ำในช่วงต้นรอบเดือนและสูงสุดในช่วงปลายรอบเดือน จะมี 3 สี คือ 6 เม็ด 5 เม็ด และ 10 เม็ด รวมเป็น 21 เม็ด
2. ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (Progestrogen-only pills – POP, Mini pills) จะมีโปรเจสโตเจนเพียงอย่างเดียว เป็นยาคุมกำเนิดที่ทำออกมาเพื่อลดอาการข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน มีกลไกการออกฤทธิ์ทำให้มูกบริเวณปากมดลูกเหนียวข้นมากขึ้น (อสุจิผ่านเข้าไปผสมกับไข่ได้ยาก) เยื่อบุโพรงมดลูกบางลงและฝ่อไปจนไม่เหมาะกับการฝังตัว ช่วยลดการเคลื่อนที่ของไข่ตามท่อนำไข่ และยับยั้งไม่ให้ไข่ตกโดยการควบคุมแบบย้อนกลับ และยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน FSH และ LH ยาคุมชนิดนี้ในหนึ่งแผงจะมี 28 เม็ด กินได้ทุกวันโดยไม่ต้องหยุด เมื่อกินหมดแล้วก็กินแผงใหม่ต่อได้เลย ส่วนใหญ่กินแล้วจะไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน (เพราะไม่มีเอสโตรเจน) แต่อาจมีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอบ้าง หรือประจำเดือนอาจขาดโดยไม่ได้ตั้งครรภ์ก็ได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากยา และการกินยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว จะมีโอกาสในการตั้งครรภ์สูงกว่าการกินยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมทำให้ไม่เป็นที่นิยมใช้
**หากแนะนำให้ใช้ แนะนำชนิดที่ 1 มากที่สุดเนื่องจากง่ายต่อการใช้งาน มีหลายยี่ห้อเช่นยาสมิน (Yasmin), ยาส (Yaz), ไดแอน (Diane), แอนนา (Anna), เมอซิลอน (Mercilon), เมลลิแอน (Meliane), มาวีลอน (Marvelon), ไซเลส (Cilest), ไกเนร่า (Gynera) โดยจะมีเป็นแผง 21 จะต้องหยุดยา 7 วันก่อนเริ่มแพงใหม่ และ 28 เม็ด(เพิ่มเม็ดแป้งเพื่อที่จะไม่ต้องหยุดกินยา 7 วันก่อนเริ่มแพงใหม่)ค่ะ หากสามารถรับประทานได้อย่างสม่ำเสมอ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงมากะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ในเวลา 1 ปีค่ะ
** การเริ่มยาคุมกำเนิด จะเริ่มตอนมีประจำเดือน (ช่วงวันที่ 1-5 ของการมีประจำเดือน ไม่ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วม หรือ จะเริ่มวันอื่นๆ (หลังวันที่ 5 ของการมีประจำเดือน) ก็ได้ค่ะ แต่ต้องมีการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นๆ เช่น ถุงยางอนามัย ร่วมด้วย 7วันค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
จินตนา แสงโพธิ์ (เภสัชกร)
1. เริ่มใช้ได้เลยหรือไม่
การใช้ยาคุมแผงแรก ควรเริ่มใช้เมื่อไม่มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ก่อนที่ยาจะมีผลคุมกำเนิดได้ค่ะ จึงแนะนำให้รับประทานภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ซึ่งหากใช้ในช่วงเวลานี้ จะถือว่ามีผลคุมกำเนิดได้เลยตั้งแต่เม็ดแรกที่รับประทาน
แต่ถ้ายังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์เลย หรือนับจากวันที่ประจำเดือนมาครั้งล่าสุดมาจนถึงปัจจุบันยังไม่มีเพศสัมพันธ์เลย หากต้องการเริ่มต้นใช้ยาคุมแผงแรกก็สามารถใช้ได้ค่ะ แต่จะยังไม่มีผลคุมกำเนิดตั้งแต่เม็ดแรกที่รับประทาน โดยถ้าใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม จะต้องใช้ยาคุมติดต่อกันจนครบ 7 วันก่อนจึงจะมีผลคุมกำเนิดได้ จึงต้องใช้ถุงยางร่วมด้วยใน 7 วันแรกของการรับประทานยาคุมนะคะ
และเนื่องจากยาคุมจะปรับรอบประจำเดือนใหม่ การเริ่มยาคุมแผงแรกไม่ตรงรอบประจำเดือน จะมีผลให้ประจำเดือนในรอบต่อไปเลื่อนออกไปจากปกติ นั่นคือ ประจำเดือนจะมาในช่วง "ปลอดฮอร์โมน" ของแผงค่ะ (นั่นคือช่วงที่เว้นว่าง 7 วันหลังใช้ยาคุมแบบ 21 เม็ดหมดแผง หรือช่วงที่รับประทานเม็ดแป้งของการใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมแบบ 28 เม็ด)
2. ควรใช้แบบกี่เม็ด
ยาคุมแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกันค่ะ หากใช้ได้ถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ
สำหรับผู้ที่ใช้ยาคุมชนิด 21 เม็ด ทั้งแผงจะมีเฉพาะเม็ดยาฮอร์โมน เมื่อใช้ครบ 21 วันแล้วก็จะเว้นว่าง 7 วันเพื่อให้ประจำเดือนมา เว้นว่างครบ 7 วันแล้วก็จะต่อยาคุมแผงใหม่เพื่อให้มีผลคุมกำเนิดต่อเนื่อง ซึ่งผู้ใช้บางรายจะมีปัญหาลืมต่อยาคุมตามกำหนดค่ะ และเมื่อต่อยาคุมช้า ผลในการคุมกำเนิดก็อาจจะไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ได้มากขึ้น
ดังนั้น จึงมีการทำเม็ดแป้งมาเพิ่ม 7 เม็ด ให้รับประทานวันละ 1 เม็ดในช่วงที่เคยต้องเว้นว่าง 7 วัน จึงกลายเป็น เม็ดยาฮอร์โมน 21 เม็ด + เม็ดแป้ง 7 เม็ด = ยาคุมฮอร์โมนรวมแบบ 28 เม็ดนั่นเองค่ะ ซึ่งเมื่อใช้ครบแผงทั้ง 28 เม็ดแล้ว วันต่อไปก็ต่อยาคุมแผงใหม่ได้เลย ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลักการไม่แตกต่างกัน
ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมแต่ละยี่ห้อ อาจมีจำนวนเม็ดยาฮอร์โมนแตกต่างกันไป มีทั้ง 21 , 22 หรือ 24 เม็ด ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไร ก็เป็นการใช้ยา 1 แผงนั้นต่อ 28 วันเหมือนกันค่ะ เช่น ถ้ามีเม็ดยาฮอร์โมน 21 เม็ด ก็จะมีเม็ดแป้ง 7 เม็ดหรือต้องเว้นว่าง 7 วัน แต่ถ้าเป็นยาคุมที่มีเม็ดยาฮอร์โมน 24 เม็ด ก็จะมีเม็ดแป้งแค่ 4 เม็ด ซึ่งรวมแล้วก็คือ 28 วันเหมือนกันนั่นเอง
ด้านหลังของแผงยาแบบ 21 เม็ด จะมีตัวอักษรกำกับเม็ดยาเป็นตัวย่อของวันในสัปดาห์ เพื่อให้ตรวจสอบการใช้ได้ง่าย หมดแผงแล้วเว้นว่าง 7 วัน แล้วจึงต่อยาคุมแผงใหม่
ส่วนด้านหลังของแผงยาคุมแบบ 28 เม็ด ส่วนใหญ่จะระบุเป็นตัวเลข 1 - 28 เป็นลำดับการรับประทานค่ะ เมื่อรับประทานเม็ดที่ 28 ของแผงแล้ว วันถัดมาก็เริ่มเม็ดที่ 1 ของแผงใหม่ได้เลย
ดังนั้น จะใช้แบบ 21 หรือ 28 ก็แล้วแต่ความถนัดของผู้ใช้แต่ละคนนะคะ
3. ยี่ห้อใดที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด
ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบรายเดือนมี 2 ชนิดค่ะ คือชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (มีเฉพาะโปรเจสติน) กับชนิดฮอร์โมนรวม (มีทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสติน) ผลข้างเคียงจากยาคุมจะน้อย ถ้ามีชนิดของฮอร์โมนน้อย และมีปริมาณของฮอร์โมนน้อย
แต่ความพึงพอใจในการใช้ หรือการทนต่อผลข้างเคียงได้ ในแต่ละคนอาจแตกต่างกันนะคะ เช่น ถ้าใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว ก็จะมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาคุมชนิดฮอร์โมนรวมในเรื่องของคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ บวมน้ำ หรือเป็นฝ้า แต่ผลข้างเคียงเด่นของยาคุมชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยวคือประจำเดือนไม่ปกติและไม่มีประจำเดือน ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ทนผลข้างเคียงนี้ไม่ได้
ไม่มียาคุมใดที่จะไม่มีผลข้างเคียง การลดผลข้างเคียงบางอย่าง อาจเป็นการเพิ่มผลข้างเคียงในเรื่องอื่นมาแทนนะคะ
สิ่งที่สำคัญก็คือ ควรเลือกใช้ยาคุมหรือวิธีคุมกำเนิดที่ "เหมาะสม" กับตัวเราค่ะ ซึ่งคำตอบในแต่ละคนจะแตกต่างกันไปได้ ตามโรคประจำตัว สถานะทางสุขภาพ ความต้องการและข้อจำกัดอื่น ๆ
ไม่แน่ใจว่าผู้ถามมีโรคประจำตัวใดหรือไม่ หรือเคยตรวจสุขภาพประจำปีมาแล้วหรือยัง หากมีโรคประจำตัว หรือยังไม่เคยตรวจสุขภาพมาก่อน ควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม และพิจารณาชนิดของยาคุมกำเนิดหรือวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมดีกว่านะคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ไม่เคยมีเพศสำพันธุ์แต่อยากกินยาคุมเพราะกำลังเริ่มคบกับแฟน ไม่เคยกินยาคุม อยากทราบว่าเราควรเริ่มกินได้เลย หรือต้องรอมีประจำเดือนก่อนค่ะ ควรกินแบบชนิดกี่เม็ดดีค่ะ แนะนำยี่ห้อที่มีผลข้างเคียงน้อยี่สุดในการเริ่มกินครั้งแรกด้วย ขอบคุณค่ะ อายุ24แล้วค่ะ ไม่เคยกินจะเริ่มกินครั้งแรกในชีวิต
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)